ดูหนัง The Unholy (2021) เทวาอาถรรพ์ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับ หญิงสาวที่ชื่อว่า Alice เธอมีความบกพร่องทางการได้ยิน หลังจากที่ทุกคนเชื่อว่า เธอได้รับความเมตตาจากพระแม่มารี ทำให้เธอพูดได้ และได้ยิน รวมไปถึงมีปาฏิหารย์ ในการรักษาคนป่วยให้หายป่วยได้ จนทำให้คนเชื่อถือและศรัทธา แต่พิธีกรรมของเธอ ทำให้นักข่าว Gerry Fenn รู้สึกแคลงใจว่า จริงๆแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นฝีมือของพระแม่มารี หรือปีศาจกันแน่ ในปี 1845 ในเมือง Banfield รัฐแมสซาชูเซตส์ แมรี่ เอลนอร์ ผู้หญิงที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ถูกแขวนคอตายบนต้นไม้และถูกจุดไฟเผา อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เธอเสียชีวิต เถ้าถ่านของเธอถูกเก็บไว้ในตุ๊กตา Kern ซึ่งบ่งชี้ว่าตุ๊กตาถูกวิญญาณของแมรี่สิงสู่
ในปัจจุบัน เจอร์รี เฟนน์ นักข่าวที่เสื่อมเสียชื่อเสียงทำงานรายงานข่าวเกี่ยวกับเรื่องแปลกๆ ทั้งหมด เขาได้รับมอบหมายให้ไปที่บอสตัน ซึ่งกิจกรรมประหลาดที่ถูกกล่าวหานั้นถูกเปิดเผยว่าเป็นเรื่องตลกของวัยรุ่น ขณะเตรียมตัวออกเดินทาง เขาพบตุ๊กตาและบดขยี้มัน ทำให้วิญญาณของแมรี่หลุดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ต่อมา เจอร์รีประสบอุบัติเหตุขณะขับรถออกไปหลังจากเห็นเด็กสาวคนหนึ่งชื่ออลิซ เพจเกตต์ วิ่งข้ามถนน เขาตามอลิซไปที่ต้นไม้ที่แมรี่ถูกแขวนคอ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาพบตุ๊กตา และได้ยินเธอพูดก่อนจะล้มลง เขาพาเธอไปที่โบสถ์และได้รู้ว่าอลิซหูหนวกและใบ้ เจอร์รี่ตัดสินใจอยู่ในเมืองเพื่อสืบสวนสิ่งที่เขาคิดว่าอาจเป็นเรื่องจริงเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติ
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดง the unholy เทวาอาถรรพณ์
Jeffrey Dean Morgan เจฟฟรีย์ ดีน มอร์แกน
Katie Aselton
William Sadler
ผู้กำกับ : Evan Spiliotopoulos
รีวิว The Unholy (2021) เทวาอาถรรพ์
entertainment
ว่าด้วยเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่มีชื่อว่า “อลิซ” ผู้มีความบกพร่องทางการได้ยิน เธอเป็นผู้เชื่อและเลื่อมใสศรัทธาในทางศาสนา จนวันหนึ่งเธอสามารถพูดและกลับมาได้ยินเป็นปกติเนื่องจากความศรัทธาในตัวพระแม่มารีย์ ทำให้ทุกคนตกตะลึง อลิซจึงได้พิสูจน์ตัวเอง เพื่อทำให้ทุกคนเชื่อและศรัทธาในตัวพระแม่มารีย์เช่นเดียวกันกับเธอ ด้วยการรักษาผู้คนจากอาการที่ไม่มีวันรักษาได้หายขาดได้ จนเกิดเรื่องราวสุดสะพรึงและหายนะตามมามากมาย ด้วยความเคลือบแคลงใจที่ว่านี่คือพลังที่เกิดจากพระแม่มารีย์จริงหรือไม่
ในระยะความยาวกว่า 1 ชั่วโมง 39 นาทีนี้ ในช่วงเริ่มมีการเปิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับตำนานเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงยุค 1845 ความน่าตื่นเต้นของหนังในช่วงแรกและกลางทำมาได้ค่อนข้างดี ดึงความสนใจได้พอสมควร ตัวหนังเองจะค่อยๆเล่าและปูรายละเอียดต่างๆลงไป มีการหลอกแบบ Jump Scares ค่อนข้างเยอะ ไม่ได้มีเทคนิคการหลอกหรือลูกเล่นอะไรใหม่เท่าไหร่
สำหรับในตัวเนื้อเรื่อง ยังคงดำเนินตามคอนเซปหนังสยองขวัญแบบดั้งเดิม ส่วนตัวชอบในเรื่องการนำเรื่องความอ่อนไหวทางจิตใจ ศรัทธาทางศาสนามาเล่น และด้วยในประเด็นของพระแม่มารีย์อันนี้ก็รู้สึกว่าเป็นอะไรใหม่ๆ ที่ทำให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจ และเชื่อว่าหลายๆคนอยากดูเพราะประเด็นนี้ด้วยเช่นกัน แต่ตัวละครในเรื่องรู้สึกว่ายังขาดมิติไปพอสมควร เหมือน Background ที่ปูมาไม่มากพอ มันเลยทำให้ตัวละครในเรื่องนี้ดูธรรมดา เป็นตัวละครพื้นๆ ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกอินหรือมีส่วนร่วมตามไปด้วยขนาดนั้น ทั้งที่ “เจอร์รี่” (Jeffrey Dean Morgan) มีความเจ็บช้ำจากเรื่องราวในอดีต มีปมที่สร้างความขาดวิ่นในจิตใจ อีกทั้งตัวคาแรคเตอร์เองก็ให้พลังของการเป็นตัวแทนที่ไม่ศรัทธาในศานาหรือความเชื่อใดๆเลย แต่ก็ยังไม่สามารถปลดล็อคอะไรบางอย่างของหนังเรื่องนี้ได้
Hollywood GossipGun
นอกจากร่างทรงแล้ว สัปดาห์นี้ก็มีหนังสยองขวัญจากฝั่งฮอลลีวูดมาเข้าฉายคือ The Unholy อันที่จริงหนังฉายในอเมริกาไปตั้งแต่เดือนเมษายนแล้ว แต่บ้านเราก็รอจนโรงหนังเปิด บวกกับฮาโลวีนพอดี เลยได้มาฉายสัปดาห์นี้ ความน่าสนใจของมันคือชื่อโปรดิวเซอร์ อย่าง แซม ไรมี เจ้าพ่อหนังเขย่าขวัญจาก Evil Dead และ Drag Me To Hell ที่นั่งแท่นโปรดิวซ์เรื่องนี้ ซึ่งหนังสยองจากแก ก็ดีบ้างแป้กบ้างสลับไป ยิ่งไม่ได้กำกับเองก็เสี่ยงหน่อย
.
หนังได้ เจฟฟรีย์ ดีน มอร์แกน (จากซีรีส์ The Walking Dead) มารับบทนำเป็น เกอร์รี่ นักข่าวตกอับที่พยายามหาเหตุการณ์แปลกๆมาเขียนข่าว จนกระทั่งเขาไปยังเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง แล้วเป็นพยานในเหตุปาฏิหาริย์ เมื่อสาวใบ้ที่พูดไม่ได้และไม่ได้ยินอะไรตั้งแต่เด็ก เกิดพูดได้ขึ้นมา เธอบอกว่าเป็นพรจากพระแม่มารี จากเหตุการณ์นี้ทำให้ชาวบ้านต่างหันมาศรัทธาในพระแม่มารี คนของคริสตจักรเริ่มเข้ามาพิสูจน์ความจริงในเหตุการณ์ดังกล่าว แต่แล้วเรื่องราวแปลกๆก็เริ่มเกิดขึ้น เมื่อศรัทธาอันแรงกล้า เริ่มนำไปสู่เหตุการณ์สุดสยอง เริ่มมีคนตายประหลาด จึงเป็นหน้าที่ของเกอร์รี่ ที่จะขุดคุ้ยความจริง ว่านี่คือปาฏิหาริย์หรือคำสาปกันแน่ ?
.
อันที่จริงพล็อตของ The Unholy ก็ไม่ได้แปลกประหลาดอะไร หนังสยองที่หยิบเอาประเด็นความศรัทธามาเล่น แล้วมันค่อยๆนำไปสู่เหตุสะพรึงที่ไม่มีใครคาดคิด แล้วตัวเอกก็ต้องขุดคุ้ยความจริงและหยุดทุกอย่างก่อนจะสายไป เร็วๆนี้ก็เพิ่งมีซีรีส์ Midnight Mass ของ Netflix ที่เล่าปมคล้ายๆกัน แต่เรื่องนั้นถือว่าสุขุมและลุ่มลึกกว่าเยอะ โดยรวม The Unholy ค่อนข้างตื้นเขิน และคลิเช่ในการเล่าเรื่องมากๆ เหมือนเราดูหนังฮอลลีวูดที่ดำเนินเรื่องแบบนี้มานับไม่ถ้วน
.
ในขณะที่ความสยองของหนัง ก็ถือว่าไม่มากนัก ตลอด 1.40 ชม. หนังเน้นไปทางการสืบสวนของพระเอกมากกว่า ฉากชวนน่ากลัวจะมีใส่สลับมาประปราย หนังจะเน้นไปที่การสร้างบรรยากาศชวนไม่น่าไว้วางใจเสียมากกว่า ในด้านตัวละครสยอง (ที่เห็นในภาพประกอบ) ต้องยอมรับว่าครึ่งแรกของหนังที่มันโผล่มาแว้บๆ ชวนขนลุกได้ดีเลย แต่พอมันค่อยๆเห็นความชัดเจนในรูปลักษณ์ น่าเสียดายที่กลับไม่น่ากลัวเท่าไหร่นัก รวมถึงฉากไคลแมกซ์ที่ควรจะสาดความสยองแบบจัดเต็ม ก็ทำได้เบาเกินไป เมื่อเทียบกับหนังผีมากมายในปีนี้ ที่องก์สุดท้ายสยองขั้นสุด (ทั้ง The Conjuring 3 และ Malignant ใส่หนักกว่านี้มาก)
6 /10 Not a 10 and not a 2… see the forest through the trees
แม้ว่า The Unholy จะไม่ใช่ 10 หรือ 9 อย่างแน่นอน… แต่มันก็ไม่ใช่ 1 หรือ 2 (แม้กระทั่ง 3) ครึ่งแรกของหนังให้ความรู้สึกเหมือนหนังคนละเรื่องกับครึ่งหลัง ครึ่งแรกสร้างบรรยากาศและน่าขนลุกและเป็นไปตามคาด ส่วนครึ่งหลังให้ความรู้สึกเหมือนรีบเร่งเข้าเส้นชัย แทบจะเหมือนกับว่าผู้กำกับคนละคนสร้างหนังเรื่องนี้ ฉันคิดว่าคนที่จริงใจและให้คะแนนหนังต่ำ… น่าจะมีปัญหากับบทและจังหวะ อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้เป็นการนำแนวหนังสยองขวัญคลาสสิก (ปีศาจ/การสิงสู่) มาตีความใหม่ค่อนข้างมาก ฉันต้องยอมรับว่าฉันค่อนข้างชอบหนังสยองขวัญที่เน้นเรื่องศาสนา เพราะโดยทั่วไปแล้วหนังเหล่านี้ดูน่าสนใจสำหรับฉันมากกว่า
ถึงจะพูดแบบนั้น ฉันคิดว่านักแสดงก็ทำได้ดี Jeffrey Dean Morgan, William Sadler, Cary Elwes และ Cricket Brown ต่างก็ยอดเยี่ยมมาก Cricket Brown ประทับใจเป็นพิเศษเพราะฉันเชื่อว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นใหญ่เรื่องแรกๆ ของเธอ และเธอให้ความรู้สึกเหมือนเป็นมืออาชีพในแผนกนี้ บางครั้งดูเหมือนว่านักแสดงไม่ได้เชื่อมโยงกับภาพยนตร์เท่าที่ควร แน่นอนว่าภาพยนตร์ไม่ได้รู้สึกเชื่อมโยงกับตัวเองหลังจากผ่านไป 52 นาที และเข้าสู่บทสรุปอย่างรวดเร็ว
การกำกับและการตัดต่อนั้นโอเคและน่าจะดีกว่านี้ได้ในความคิดของฉัน อย่างไรก็ตาม บทภาพยนตร์ยังต้องปรับปรุงอีกเล็กน้อย แม้ว่าเรื่องราวจะดูเหมือนเป็นเรื่องราวที่เราเคยดูมาแล้วนับล้านครั้ง แต่ฉันชอบโครงเรื่องและธีมโดยรวม แต่ภาพยนตร์กลับออกนอกเรื่องและสะดุดกำแพง จากนั้นก็ออกตัวด้วยความเร็วเต็มที่ก่อนจะออกตัวไปที่กำแพงอื่นๆ ภาพยนตร์ให้บทสรุปกับให้ผู้ชมหาคำตอบได้ ครึ่งแรกของภาพยนตร์ทำหน้าที่เตรียมการตัวละครและการกำกับได้ดี ครึ่งหลังของภาพยนตร์ละเลยการเตรียมการ ละเลยตัวละคร และมุ่งตรงไปที่แหล่งที่มาของปัญหา ราวกับว่าพวกเขาใช้เวลาหนึ่งปีในการบันทึกครึ่งแรก และหนึ่งเดือนในครึ่งหลัง
โดยรวมแล้วไม่ใช่ภาพยนตร์ที่แย่ อย่างน้อยก็ให้ความบันเทิงได้ครึ่งหนึ่งของภาพยนตร์ โครงเรื่องดี การแสดงดี การแสดงใหม่ยอดเยี่ยมร่วมกับ Cricket Brown แต่สะดุดกำแพงระหว่างทางและไม่สามารถฟื้นตัวได้ ฉันคิดว่าคะแนน 6 คงที่ เพราะการแสดงและธีมโดยรวม