ดูหนัง The East (2013) เดอะ อีสต์ ทีมจารชนโค่นองค์กรโฉด
เจ้าหน้าที่ของบริษัทข่าวกรองเอกชนชั้นนำพบว่าลำดับความสำคัญของเธอเปลี่ยนไปอย่างมาก หลังจากที่เธอได้รับมอบหมายให้แทรกซึมเข้าไปในกลุ่มอนาธิปไตยที่รู้จักกันว่าทำการโจมตีบริษัทใหญ่ๆ อย่างลับๆ เจน เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองเอกชน ฮิลเลอร์ บรู๊ด ได้รับมอบหมายจากชารอน หัวหน้าของเธอ ให้แฝงตัวเข้าไปในกลุ่ม ซึ่งเป็นกลุ่มนักเคลื่อนไหวนักอนาธิปไตยและ นักอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม ใต้ดิน ที่ก่อเหตุโจมตีผู้นำองค์กรด้วยการทำลายล้างและขู่จะก่ออาชญากรรมด้านสิ่งแวดล้อมอีก 2 ครั้ง เธอเรียกตัวเองว่าซาราห์ และร่วมเดินทางกับกลุ่มคนเร่ร่อนโดยโบกรถไฟ เมื่อกลุ่มคนเร่ร่อนคนหนึ่งชื่อลูคา ช่วยให้เธอหลบหนีจากตำรวจได้ เธอจึงพบสัญลักษณ์ของ ที่ห้อยอยู่ที่กระจกมองข้างของลูคา ซาราห์ทำร้ายแขนตัวเอง โดยเธอเล่าว่าลูคาเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอหลบหนี เพื่อที่เขาจะได้ไปพบแพทย์ เขาพาเธอไปที่บ้านร้างแห่งหนึ่งในป่าที่สมาชิกกลุ่ม อาศัยอยู่ และหนึ่งในสมาชิกกลุ่มชื่อด็อกก็ทำการรักษาเธอ
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดง
Brit Marling บริต มาร์ลิง
Alexander Skarsgård
Patricia Clarkson
ผู้กำกับ : ซาล บัตมันกลีจ
รีวิว
หนังโปรดของข้าพเจ้า
สไตล์การเล่าเรื่องไม่ต่างจากหนังสายลับแฝงตัวสืบข่าวทั่วไปสักเท่าไร ประเภทที่ว่าพอเข้าไปสืบก็เกิดความหวั่นไหวกับอุดมการณ์ แต่ที่หนังมันน่าสนใจเพราะการวางตัวเป็นแนวล้างแค้น เป็นหนังก่อการร้ายโจมตีนายทุนที่สร้างหายนะต่อธรรมชาติ เช่นทำน้ำมันรั่วไหวลงทะเลแล้วไม่รับผิดชอบ, ผลิตยาที่มีผลข้างเคียงร้ายแรง, ปล่อยน้ำเสียให้ชุมชน ซึ่งปัญหาพวกนี้มันมีอยู่จริงในสังคมแล้วไม่มีหน่วยงานไหนจัดการได้จริงจัง จึงเกิดองค์กรลับ ๆ รวมตัวกันขึ้นมาเพื่อจัดการบริษัทเหล่านี้ในแนวทางของพวกเขาเอง
.
‘ซาร่าห์’ (Brit Marling) เป็นสายลับขององค์กรเอกชนที่ได้รับมอบหมายให้แฝงตัวไปอยู่ในกลุ่ม เพื่อสืบว่าพวกเขามีเป้าหมายจะลงมือที่ไหนต่อไป แต่ปรากฎว่าพอเธอเข้าไปซึมซับอุดมการณ์และเป็นพยานรับรู้เหตุการณ์ชั่วร้ายของบริษัทใหญ่ ๆ มากขึ้น เธอก็เริ่มเอนเอียงเข้าใจกลุ่มก่อการร้ายมากขึ้น
.
ชอบวิธีการล้างแค้นของหนังตรงที่มันไม่ใช่แนวแอ็คชั่นถือปืนไปไล่ยิง แต่เลือกจะล้างแค้นแบบให้พวกบริษัทเหล่านั้นได้เจอผลกระทบจากสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมา เช่นถ้ายามีข้างเคียง ก็ให้มาลองกินเอง, หรือปล่อยน้ำเสียก็ให้ลองไปแช่ดูเองบ้าง ซึ่งมันทำให้หนังดูมีชั้นเชิงขึ้นมาพอสมควร ส่วนที่ดีอีกอย่างคือช่วงท้าย ๆ มันเริ่มแบ่งคนใน เป็นสองฝ่ายโต้เถียงถึงความเหมาะสมของวิธีการว่าจำเป็นต้องรุนแรงถึงขั้นให้ตายไหม ทำไมไม่หาวิธีอื่นที่ดีกว่านั้น ซึ่งหนังอาจจะโลกสวยไปหน่อยตอนท้าย ๆ แต่เราว่ามันเป็นการตั้งคำถามให้คิดได้อย่างน่าสนใจ
.
ถ้าใครคาดหวังความแปลกใหม่จากการเล่าเรื่องนี่จะขอให้ผ่านไปได้เลย เพราะมันมีหลายฉากและหลายอย่างที่ช่างดูคุ้นเคยไปหมด แต่ถ้าพูดในแง่พล็อตเรื่องต้องยอมยกนิ้วให้ว่าสร้างสรรค์ อารมณ์เหมือนคนเขียนบทอยาก fantasize ว่าตัวเองได้เอาคืนพวกบริษัทที่ทำลายธรรมชาติ เลยพยายามเขียนบทหนังล้างแค้นขึ้นมาเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งมันก็โอเคนะที่ได้เห็นอะไรแบบนี้บ้าง