ดูหนัง Parasyte Part 1 (2014) ปรสิต เพื่อนรักเขมือบโลก เล่าเรื่องของสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว ที่เดินทางมายังโลก โดยพวกมันสามารถยึดร่างมนุษย์ได้ด้วยการแทรกซึมเข้าไปทางรูหู หรือรูจมูกเพื่อเข้ายึดสมองควบคุมร่างกายแบบเบ็ดเสร็จ นอกจากนั้นเหล่าปรสิตต่างดาวในร่างมนุษย์ยังมีพละกำลังมหาศาล และสามารถเปลี่ยนอวัยวะให้กลายเป็นอาวุธอันแหลมคมอันตราย ในการจับมนุษย์กินเป็นอาหาร สังคมมนุษย์จึงต้องเผชิญกับการคุกคามของเหล่า ปรสิต ที่อาศัยปะปนอยู่กับผู้คนแบบแทบจะไม่สามารถแยกได้ออกเลย ซึ่งเรื่องราวในหนังสือจะมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่เด็กหนุ่มชั้นนักเรียนมัธยม ชินอิจิ ที่โดนปรสิตเข้าแทรกซึมในร่างกาย แต่เพราะสิ่งมีชีวิตจากโลกอื่นเจาะเข้าไปทางมือของเขาจึงไม่สามารถควบคุมสมองได้ นอกจากยึดมือไปข้างเดียวเท่านั้น แต่แล้วทั้ง ชินอิจิ และปรสิตต่างดาวที่เขาตั้งชื่อให้ว่า มิกกี้ กลับสามารถเรียนรู้ที่จะอาศัยอยู่ในร่างเดียวกันได้ และทั้งสองต้องร่วมกันต่อสู้กับเหล่าปรสิตเผ่าพันธุ์เดียวกับมิกกี้แทน
อ่านรีวิวก่อน ดูหนังนักแสดง
Shôta Sometani
Eri Fukatsu
Ai Hashimoto
Kazuki Kitamura
ผู้กำกับ
Takashi Yamazaki
รีวิวหนัง Parasyte Part 1 (2014) ดูหนังออนไลน์
– ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาของรีวิว ผมขอใช้พื้นที่ตรงนี้เกริ่นความหลังของผมกับปรสิตเดรัจฉานฉบับมังงะสักนิดนึง ปรสิตเดรัจฉานน่าจะเป็นการ์ตูนมังงะที่มีเนื้อหาเป็น“ผู้ใหญ่”(ไม่ได้หมายถึงการ์ตูนโป๊นะครับ)เรื่องแรกๆที่ผมเคยอ่านในชีวิต ซึ่งถือได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่เหวอมากๆสำหรับตัวผมในตอนนั้น ด้วยความที่ตอนนั้นผมยังเด็กๆอยู่ โลกทัศน์ยังค่อนข้างแคบ วุฒิภาวะก็ไม่ค่อยมี พอได้มาลองอ่านการ์ตูนที่ทั้งเลือดสาด ทั้งอนุรักษ์ธรรมชาติ(เอ้า อนุรักษ์ธรรมชาติจริงๆ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแต่ปู่ Hayao Miyazaki แห่งสตูดิโอ Ghibli เคยคิดจะเอาเรื่องนี้มาดัดแปลงเป็นแอนิเมชั่นด้วยนะจะบอกให้) ทั้งสำรวจ/วิพากษ์วิจารณ์ความเหลวแหลกของมนุษยชาติแบบเรื่องนี้เป็นครั้งแรกเข้าไปก็เหวอแดรกไปเลย คือแบบ“เฮ้ย การ์ตูนแบบนี้มันก็มีด้วยเหรอวะ?”(ขอย้ำอีกครั้งว่าตอนนั้นวุฒิภาวะผมยังน้อย ไอ้ทัศนคติโง่ๆอย่าง“การ์ตูนเป็นเรื่องของเด็กๆ”จึงเป็นอะไรที่ยังฝังอยู่ในหัวของผม ณ ตอนนั้น) แต่ถึงจะเหวอแดรกแค่ไหนก็หยุดอ่านไม่ได้จริงๆ ฮ่วย การ์ตูนบ้าอะไรทำไมเนื้อเรื่องมันเข้มข้นน่าติดตามได้ขนาดนี้ โคตรตื่นเต้นเลย เรียกได้ว่าอ่านจบทุกเล่มภายในสองวัน
มังงะเรื่องอื่นๆที่ผมได้อ่านในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันที่พอจะถือได้ว่าเป็นมังงะที่มีเนื้อหาเป็น“ผู้ใหญ่”แบบเดียวกับปรสิตก็เห็นจะมี Black Jack ของโอซามุ เท็ตสึกะ, Berserk ของเคนทาโร่ มิอุระ, Monster ของนาโอกิ อุราซาว่า อะไรอย่างงี้เป็นต้น แต่ปรสิตนี่จะเป็นเรื่องแรกๆเลยที่ผมได้อ่าน การอ่านมังงะพวกนี้ทำให้ผมได้รู้ว่าการ์ตูนญี่ปุ่นมันไม่ได้มีแต่แนวเด็กจ๋าอย่างโดราเอมอน,ชิงจัง,อาราเล่ หรือแนวโชเน็นโปรพลังมิตรภาพ เอะอะอะไรก็ต้องเบ่งพลังใส่กันแบบพวกเซนต์เซย่า,ดราก้อนบอล,นารุโตะอย่างเดียว โลกของการ์ตูนญี่ปุ่นมันกว้างใหญ่กว่านั้นเยอะ เพียงแต่เป็นตัวผมเองต่างหากที่ยังไม่ได้สำรวจมัน
– อย่างที่ได้บอกไปตรงหมายเหตุข้างบนนะครับ หนังเรื่องนี้ผมโหลดมาดูแบบไม่มีซับอังกฤษ ตอนดูก็ต้องอาศัยดำน้ำเอา(คือดูไปทั้งๆที่ฟังญี่ปุ่นไม่รู้เรื่องนี่แหละ) ปรากฏว่าดูรู้เรื่องแหะ สาเหตุที่ดูรู้เรื่องคงเป็นเพราะฉบับหนังมันทำมาออกมาได้ใกล้เคียงกับฉบับมังงะมากๆ คนที่เคยอ่านฉบับมังงะมาก่อนอย่างผมเลยโชคดีไป
– โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าปรสิตฉบับหนังทำหน้าที่ในการดัดแปลงเนื้อหาจากฉบับมังงะมาขึ้นจอใหญ่ได้ดีเสียยิ่งกว่าหนังที่ดัดแปลงมาจากมังงะที่อยู่ในกลุ่ม“ค่อนข้างดี”(เพราะหนังที่ดัดแปลงมาจากมังงะส่วนใหญ่มักจะเละ – เรายอมรับความจริงข้อนี้กันเถอะ)อย่าง Death Note, GANTZ หรือ Rurouni Kenshin เคยทำไว้เสียอีก คือจุดไหนที่หนังมันซื่อตรงต่อต้นฉบับได้ มันก็จะซื่อตรงต่อต้นฉบับมากๆ แต่จุดไหนที่หนังมันจำเป็นจะต้องตัดทิ้งไปและ/หรือจำเป็นจะต้องดัดแปลงเพื่อให้เหมาะสมกับเวลาของหนังที่มีเพียงจำกัด หนังมันก็เลือกที่จะตัด/ดัดแปลงในจุดนั้นๆได้อย่างเหมาะสม ผลลัพธ์ที่ออกมามันถึงได้เวิร์คไม่ว่าคนดูจะเป็นคนที่เคยหรือไม่เคยอ่านฉบับมังงะมาก่อน
รายละเอียดบางจุดที่ฉบับหนังปรับเปลี่ยนไปจากฉบับมังงะที่ผมดูแล้วชอบก็เช่นการที่ฉบับหนังตัดเนื้อหาและบทบาทของตัวละครสมทบบางตัวทิ้งไปเพื่อที่เนื้อเรื่องของหนังมันจะกระชับขึ้น,การที่ในฉบับหนังปรับบทให้ชินอิจิจะอยู่กับแม่แค่สองคน ไม่ได้เป็นครอบครัวพ่อแม่ลูกแบบในมังงะซึ่งทำให้ฉากที่แม่ของชินอิจิโดน
เป็นฉากที่อิมแพ็คยิ่งขึ้น,ฉากไคลแม็กซ์ตอนท้ายเรื่องที่เปลี่ยนจากการ“เขวี้ยงหิน”ไปเป็นการ“ยิงธนู”แทนก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เข้าท่า มีที่มาที่ไปที่สมเหตุสมผล ฯลฯ
ทั้งนี้ทั้งนั้น สองสิ่งที่ปรสิตฉบับหนังถ่ายทอดออกมาได้ซื่อตรงต่อปรสิตฉบับมังงะที่สุดก็เห็นจะเป็นในส่วนของ“ธีม”และ“โทน”ของฉบับหนังที่ยังคงตั้งคำถามและชำแหละความลักลั่นย้อนแย้งและความเหลวแหลกของมนุษยชาติได้อย่างถึงแก่นไม่ต่างอะไรไปจากที่ฉบับมังงะเคยทำไว้ ซึ่งนั่นทำให้คนที่เคยอ่านฉบับมังงะมาก่อนอย่างผมพอใจกับฉบับหนังมากๆ
– ฉากแอ็คชั่นของหนังถือว่าทำออกมาได้ชวนลุ้นและเลือดสาดไม่แพ้ในฉบับมังงะเลย และ CGI ของหนังก็ทำออกมาได้ดูดีทีเดียวสำหรับมาตรฐานหนังญี่ปุ่น(ที่แน่ๆคือ CGI ของมิกกี้ในหนังเรื่องนี้ดูดีกว่า CGI ของลุคใน Death Note ฉบับหนังคนแสดงก็แล้วกันนะ…)
– พูดถึงนักแสดงสักนิดนึง เจ๊คนที่เล่นเป็นทามิยะ เรียวโกะหน้าตาอาจจะไม่เหมือนในฉบับมังงะแบบเป๊ะๆ แต่สีหน้านิ่งๆและกริยาท่าทางที่แอบแฝงความอำมหิตเอาไว้นี่คือเป๊ะ นางคือทามิยะ เรียวโกะอย่างแท้จริง ส่วนสุดที่รักของผมอย่างน้อง Ai Hashimoto ในบทนางเอกของเรื่องอย่างซาโตมินี่อาจจะออกมาไม่เยอะแต่ได้ใจไปเต็มๆทุกฉาก ชนะเลิศสุดๆ(คนที่อ่านถึงตรงนี้คงจะเริ่มสงสัยแล้วสิว่า“อ้าว แล้วจะไม่พูดถึงไอ้ตัวพระเอกของเรื่องสักหน่อยเหรอ?” เดี๋ยวผมจะพูดถึงเดี๋ยวนี้แหละ เลื่อนไปอ่านข้อต่อไปได้เลย…)
– โดยรวมแล้วผมค่อนข้างจะประทับใจปรสิตฉบับหนังภาคนี้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว รอดูภาคต่อไปแน่นอน *แต่*(เน้นเสียง)สิ่งเดียวที่อาจจะขัดใจผมเป็นการส่วนตัวเกี่ยวกับปรสิตฉบับหนังคือการที่หนังมันเจือกไปแคสต์ไอ้พระเอกหนังเรื่อง Himizu (Shôta Sometani) มาเล่นเป็นบักชินอิจิ ตัวพระเอกของเรื่องนี้ คือไอ้หมอนี่มันเล่นดีนะ แต่ตีลังกาดูยังไงผมก็ว่าหน้าตาไอ้หมอนี่มันไม่เหมาะกับบทนี้เลยอ่ะ miscast สุดๆ ชินอิจิในฉบับมังงะมันจะต้องเป็นพระเอกที่หน้าตาออกติ๋มๆขี้แพ้ๆหน่อย แต่พอในฉบับหนังหน้าตามันออกโหดออกจิตเสียขนาดนี้ ไอ้ character development ของชินอิจิจากการเป็นแค่เด็กม.ปลายธรรมดาๆคนหนึ่งไปเป็นเด็กหนุ่มที่เริ่มสูญเสียความเป็นมนุษย์ให้กับด้านที่เป็น“เดรัจฉาน”ในตัวมันเลยไม่ค่อย convincing สักเท่าไหร่(คือดูโหวงเฮ้งของชินอิจิฉบับหนังแล้วตูว่าลึกๆแล้วเอ็งก็เลือดเย็นแบบนี้มาตั้งไหนแต่ไรแล้วแหละมั้ง) แต่ก็นั่นแหละ คนที่ไม่เคยอ่านฉบับมังงะมาก่อนก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรกับจุดนี้ หรือแม้แต่คนที่เคยอ่านฉบับมังงะมาก่อนก็อาจจะไม่มีปัญหาอะไรกับจุดนี้เหมือนกันก็ได้ ก็แล้วแต่คนอ่ะนะ ยังไงเสียนี้ไอ้ทั้งหมดที่เพิ่งพิมพ์ไปนี่มันก็เป็นแค่ความเห็นส่วนตัวของผมคนเดียวอยู่แล้ว(แล้วเอ็งจะบ่นทำไม…)
– อ้อ ว่าแต่คนทำดนตรีประกอบหนังเรื่องนี้ ผมเข้าใจนะครับว่าพี่อยากเป็น Hans Zimmer ก็ทำเพลงออกมาได้อารมณ์ดีครับ เอาให้กระหึ่มหนำใจไปเลยครับพี่(แมร่ง ใส่หูฟังตอนดู หูแทบแตก…)
sanook
Parasyte Part 1 ดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนของฮิโตชิ อิวาอากิ ซึ่งเคยได้รับการตีพิมพ์เป็นตอนๆในนิตยสาร After-noon ของนสพ. Kodansha ช่วงปี 1988-1995 โดยเวอร์ชั่นหนังดัดแปลงหนังสือการ์ตูนทั้งหมดแล้วแบ่งออกเป็นหนังสองภาคด้วยกัน
ตัวหนังกำกับโดยทาคาชิ ยามาซากิ ผู้กำกับจากไตรภาค Always และ Stand by me Doraemon ซึ่งแต่ละเรื่องเรียกได้ว่านอกจากจะทำเงินอย่างถล่มทลายในประเทศญี่ปุ่นแล้วยังโกยคำวิจารณ์ในแดนบวกกลับมาอย่างสม่ำเสมอ และหนังเรื่องนี้เขาก็ยังคงทำงานร่วมกับมือเขียนบท เรียวตะ โคซาวะที่ทำงานใน Always มาด้วยกันนั่นเอง
Parasyte บอกเล่าเรื่องราวของชินอิจิ(โชตะ โซเมะทานิ) หนุ่มมัธยมปลายที่บังเอิญต้องผูกสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวที่เปรียบราวกับปรสิตซึ่งมาอาศัยอยู่ในมือขวาของเขาและมันเรียกตัวเองว่า “มิกิ” หรือแปลตามภาษาญี่ปุ่นว่า “มือขวา” ซึ่งอันที่จริงเจ้ามิกิไม่สามารถยึดครองสมองของชินอิจิได้เลยกลายเป็นว่าทั้งสองจึงต้องอยู่ร่วมเป็นเพื่อนกันไป
ทว่าเหตุการณ์ไม่ได้ง่ายสดใสน่ารักตามประสาเพื่อนรักต่างโลก เมื่อบรรดาปรสิตตัวอื่นสามารถครอบครองร่างของมนุษย์และต้องกินมนุษย์เป็นอาหาร การออกล่าเหยื่อจนกลายเป็นเหตุฆาตกรรมสะเทือนขวัญจึงเริ่มแพร่ระบาดไปในสังคมจนชินอิจิและมิกิต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อยับยั้งเหตุการณ์เหล่านี้
นอกจากจะเป็นมังงะที่นองเลือดและแทรกอารมณ์ขันอยู่ในเรื่องราวแล้ว มันยังชวนผู้ชม/ผู้อ่านตั้งคำถามถึงปรัชญาความเป็นมนุษย์ได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะเรื่องการดำรงอยู่ของมนุษย์ หนังเลือกจะสะท้อนมันผ่านตัวละครเรียวโกะ(เอริ ฟุคัตสึ) อาจารย์สาวที่ถูกปรสิตอัจริยะเข้าครอบครองร่าง เธอพยายามปรับตัวให้กลมกลืนกับมนุษย์และศึกษาความพิเศษของชินอิจิกับมิกิ ยิ่งไปกว่านั้นเธอก็เลือกจะเอาร่างกายของตัวเองทดลองในการ “ผสมพันธุ์” กับ เอ ปรสิตที่ยึดร่างตำรวจหนุ่ม เป็นผลให้เธอตั้งครรภ์และนี่เองเป็นจุดเริ่มต้นของคำถามที่ว่า “สิ่งมีชีวิตในท้อง” ของเธอนั้นมีสถานะเป็นอะไร ปรสิตหรือมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งเท่านั้น
นอกจากนี้หนังยังพยายามสะเทือนอารมณ์ผู้ชมด้วยการปรับเปลี่ยนบทจากหนังสือการ์ตูนมาให้เป็นว่าชินอิจิได้รับการเลี้ยงดูมาจากแม่ของเขา (คิมิโกะ โย) ตั้งแต่เด็ก ภาระอันหนักอึ้งของผู้เป็นแม่ในการเลี้ยงลูกถูกถ่ายทอดผ่านแววตาของนักแสดงผู้นี้ และหนังก็เลือกจะใช้หมัดเด็ดในการ “สะเทือนอารมณ์” ผู้ชมด้วยฉาก “ร่างที่ไม่ใช่แม่ของชินอิจิอีกต่อไป” รวมไปถึงฉากที่ชินอิจิต้องต่อสู้กับแม่ตัวเองตอนท้ายเรื่องด้วย
ความสนุกของหนังคือการผสมผสานแนวทางของหนังสยองขวัญเข้ากับอารมณ์ขันแบบมังงะ แทรกด้วยฉากแอ็คชั่นที่เป็นน้ำจิ้มให้ผู้ชมได้ลุ้นระทึกเป็นพักๆ ก่อนจะมานั่งขบคิดกับปรัชญาที่หนังคอยทิ้งไว้ตามรายทางของเรื่อง
แม้ว่าเรื่องราวทั้งหมดจะยังไม่ได้ขมวดปมในภาคแรกทั้งหมด แต่ความบันเทิงในหนังพาร์ทแรกก็เรียกได้ว่ากระตุ้นต่อมที่ทำให้ผู้ชมอยากจะดูพาร์ท 2 ใจจะขาด
หนังโปรดของข้าพเจ้า
อันนี้เขียนในฐานะคนไม่เคยอ่านมังงะ ไม่เคยดูอนิเมะมาก่อน เรียกว่ายังซิง ๆ กับเจ้าปรสิตตัวนี้อยู่ พูดถึงเฉพาะหนังคนแสดงเท่านั้น ส่วนใครอยากได้ความเห็นจากคนอ่าน Parasyte มาก่อนเดี๋ยวจะแปะรีวิวของเพจเพื่อนบ้านทีหลังนะครับ
เรื่องย่อสั้น ๆ คือโลกเรามีปรสิตกินสมองจนสามารถควบคุมร่างกายมนุษย์เพื่อดำรงชีพได้ แต่ ‘มิคกี้’ ปรสิตตัวที่จะเขมือบ ‘ชินอิจิ’ ดันเขมือบได้แค่มือขวาจึงควบคุมได้เพียงเท่านั้น สมองความนึกคิดยังคงเป็นของชินอิจิ
1) ความเฟลแรกคือเราไปโดนตัวอย่างหนังหลอกว่ามันจะเป็นไซไฟเข้มข้นประเด็นเสียดสีมนุษย์หนัก ๆ แต่ปรากฎว่ามันเป็นแค่หนัง mutant horror ยึดร่างมนุษย์ซึ่งไม่ได้หลอนสยองขวัญเหมือนพวก The Thing (1982) ที่เรารู้สึกว่ามันน่ากลัวเพราะเราคาดเดาไม่ได้ว่าใครโดนเขมือบไปแล้ว แต่ Parasyte ได้แค่การทำตัวเป็นหนังโหดที่มีฉากเห็นร่างขาดครึ่งชัด ๆ หรือทำให้รู้ว่าหัวขาดกันแบบโจ่งแจ้ง
2) ชอบความเป็น mutant horror ของเจ้าปรสิตทั้งหลายนะ พอกลายร่างต่อสู้กันมันฉวัดเฉวียนดี แถมความที่มันแปลงรูปร่างได้หลายอย่างจึงรู้สึกว่ามันสามารถสร้างลูกเล่นได้เยอะ แล้วที่สำคัญคือระดับความโหดเหมาะสมกับการเจาะตลาดวงกว้าง (ผมโอเคที่มันแหวะเท่านี้)
3) พล็อตรองหลายจุดมันค่อนข้างจับยัดรวบรัดไปหน่อยจนคนดูแบบเราไม่ได้มีอารมณ์ร่วมเลย โดยเฉพาะความสัมพันธ์แม่-ลูกที่หนังเล่าเพียงผ่าน ๆ ทั้งที่มันมีปมน่าขยี้เยอะมาก เช่นรอยแผลเป็นที่ข้อมือหรือยอมเสียเวลาเล่าความผูกพันให้มากกว่านี้ ซึ่งการที่หนังเล่าน้อยทำให้ไม่สามารถกระตุ้นอารมณ์ในฉากไคลแม็กซ์ได้อย่างที่ควรจะเป็น
4) พอดีรอบสื่อเขาฉายพากย์ไทยเลยขอติตรงนี้เลยว่า “พันธมิตรทำลายหนังอีกแล้ว” ส่วนตัวโอเคกับมุกที่เล่นโดย ‘มิคกี้’ ปรสิตในมือพระเอก มันเกรียนกวนตีนดี แม้จะรู้ว่าหลายมุกคือการ ‘เปลี่ยนคำพูดจากต้นฉบับ’ ซึ่งการดัดแปลงทำให้มุกตลกเข้ากับคนไทยมากกว่า เช่นการขอมือขวา, มือซ้ายเช็ดก้น แต่เราไม่ค่อยโอเคกับการเล่นมุกนอกบทหลายครั้งมาก ๆ แม้มันจะตลก(แป้กบ้าง)แต่มันเป็นส่วนเกินที่ทำลายโทนหนัง โดยเฉพาะพวกมุกที่ด้นสดเข้าไปเองตอนที่ฉากเงียบ ๆ
5) แต่พอมองในแง่ที่ว่าภาคนี้คือปฐมบทปูพื้นสู่ภาคต่อ ผมค่อนข้างโอเคกับหนังเลยนะ อย่างแรกเลยคือความเปลี่ยนแปลงของตัวละครมันเล่าออกมาได้ดี จากคนที่มีปรสิตอยู่ในมือจนถึงจุดตัดสินใจตามฆ่าปรสิตตัวอื่นให้สิ้นซาก แต่พอนึกถึงสภาพของภาคต่อแล้วแอบสงสัยนิดหน่อยว่ามันจะออกมาในทิศทางไหน เพราะขณะที่พระเอกตั้งใจจะทำตัวเป็น anti-hero กวาดล้างปรสิต แต่เหล่าปรสิตอีกฝั่งกลับเริ่มลงเล่นการเมืองและประกาศว่าจะกวาดล้างมนุษย์ให้สิ้นซากเช่นเดียวกัน โดยมีจุดถ่วงดุลอยู่ที่ปรสิตทดลองมีลูก ซึ่งมีโอกาสที่หนังจะแตะประเด็นละเอียดอ่อนของมนุษย์ แต่เห็นมีพล็อตตำรวจตั้งทีมอีก ดูทรงแล้วคงหนีไม่พ้นเป็น action-horror ล่ะมั้ง ฮ่าๆ
โดยรวมแล้วไม่ผิดหวังถ้าตั้งใจไปดูหนัง horror ที่ไม่โหดมาก แต่อย่าได้ไปคาดหวังว่ามันจะมีประเด็นเนื้อหาหนัก ๆ ลึก ๆ แบบผมละกัน