ดูหนัง Over the Moon (2020) เนรมิตฝันสู่จันทรา
ความทรงจำเกี่ยวกับแม่จุดพลังให้เฟยเฟยผู้ชาญฉลาดสร้างจรวดที่จะพาเธอเดินทางไปดวงจันทร์ เพื่อพิสูจน์ว่าเทพีจันทราในตำนานนั้นมีอยู่จริง เฟยเฟย ( Cathy Ang ) เป็นหญิงสาวที่ต้องทนทุกข์กับความโศกเศร้าอันแสนสาหัสจากการสูญเสียแม่ตั้งแต่ยังเด็ก สี่ปีต่อมา พ่อของเธอ ( John Cho ) ได้ก้าวต่อไปและกำลังพิจารณาที่จะแต่งงานอีกครั้ง ทำให้เฟยเฟยต้องคิดหนัก เธอไม่สามารถรับมือกับการสูญเสียแม่ของเธอได้ และตอนนี้เธอกำลังถูกขอให้ต้อนรับผู้หญิงอีกคนเข้ามารับบทบาทนั้น พร้อมกับน้องชายต่างแม่ที่น่ารำคาญ
อ่านรีวิวก่อน ดูหนังเฟยเฟยเกิดอาการตื่นตระหนกและตัดสินใจที่จะสำรวจตำนานที่แม่ของเธอชื่นชอบเกี่ยวกับเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ที่กำลังรอการกลับมาของความรักที่หายไปของเธอ เธอสร้างจรวดและบินขึ้นไปในดวงดาว ดูดเข้าสู่โลกแห่งเวทมนตร์ของมังกรผู้ช่วยเหลือและสิ่งมีชีวิตที่สดใสซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากประเพณีจีนของเทศกาลไหว้พระจันทร์หรือเทศกาลไหว้พระจันทร์ ในแง่ของภาพ นี่คือการเดินทางในอวกาศตามที่จินตนาการโดยใครบางคนบนลูกอมจำนวนมาก ซึ่งสาดกระจายไปด้วยสีสันสดใสมากกว่าที่เราเห็นโดยทั่วไปบนทรงกลมสีเทา
นักแสดง พากย์เสียง
Ruthie Ann Miles
John Cho
Cathy Ang
ผู้กำกับ : Glen Keane
รีวิว
ส่วนตัวรู้จักเทศกาลไหว้พระจันทร์ Over the Moon (และก็กินขนมไหว้พระจันทร์) แต่ไม่ได้รู้ลึกไปถึงเรื่องที่มาของตำนานอะไร ซึ่งเป็นแกนสำคัญที่ Over The Moon (2020) ตั้งใจนำเสนอ หากแต่มันไม่ใช่หนังที่หมกมุ่นอยู่กับความเก่าแก่ โบราณดั้งเดิม แต่เป็นการหยิบเอาตำนานเก่ามาปัดฝุ่น ตีความ และนำเสนอในทิศทางใหม่ ที่ไม่ได้แค่ดูร่วมสมัยเท่านั้น แต่ยังสามารถสื่อสารกับคนทั่วโลกได้ด้วย เป็นการแชร์วัฒนธรรม ประเพณี และความคิดของคนจีนในรูปแบบของแอนิเมชั่น ผจญภัย-แฟนตาซี สนุกๆ ที่ถูกเล่าเรื่องผ่านเสียงเพลงมิวสิคัล และแม้ว่าโดยรวมมันจะไม่ใช่งานที่ดีพร้อมสมบูรณ์ แต่ก็เป็นแอนิเมชั่น 90 นาทีที่เพลิดเพลินอยู่ไม่น้อยเลย
เล่าเรื่องราวของเด็กสาวมีความสามารถ และรักในวิทยาศาสตร์ ที่สร้างยานอวกาศของตัวเองขึ้นมาเพื่อเดินทางไปดวงจันทร์ เพื่อพิสูจน์ว่าเทพีแห่งดวงจันทร์ในตำนานนั้นมีอยู่จริง อันเป็นจุดเริ่มต้นของภารกิจที่ไม่คาดฝัน เมื่อเธอได้เป็นส่วนสำคัญในการช่วยเหลือดินแดนจันทราที่แสงกำลังจะดับ / จุดเริ่มต้นของการผจญภัยมาจากเรื่องราวตำนานที่แม่ของเธอชอบเล่าให้ฟังตั้งแต่เด็กๆ เรื่องของเทพีจันทราผู้รอคอยวันที่ตนจะได้เจอกับรักแท้อีกครั้ง เมื่อแม่ของเธอล่วงลับ เรื่องเล่าดังกล่าวจึงสำคัญกับเธอมาก และท่ามกลางผู้คนที่ไม่มีใครเชื่อในเทพีแห่งดวงจันทร์ เธอจึงสร้างยานโดยหวังว่าจะสามารถพิสูจน์ให้ทุกคนในบ้านได้เห็นว่าตำนานโบราณที่พวกเขาหยอกล้อกันนั้นเป็นเรื่องจริง
ประเด็นสำคัญในคือการพบกันครึ่งทางระหว่างความเป็นตำนานโบราณ และการมองในแบบปัจจุบัน (หรือกระทั่งมองโลกด้วยความเป็นจริง) หนังพูดถึงเรื่องราวความรักของเทพีดวงจันทร์ พร้อมๆกับความสัมพันธ์ของเด็กสาวกับแม่ที่ลึกๆแล้วเธอยังไม่สามารถก้าวข้ามความรู้สึกได้ จุดวิกฤตที่เกิดขึ้นกับเธอคือตอนที่พ่อพยายามเริ่มต้นใหม่กับคนอื่น พาอีกครอบครัวเข้ามาในชีวิต มันเล่าเรื่องง่ายๆ แต่เชื่อว่าหลายคนน่าจะเข้าใจ และอิน เป็นความรู้สึกที่ว่าเรื่องราวของแม่กำลังจะหายไป ความรักกำลังจะหายไป รวมทั้งเรื่องเล่าที่แม่เคยบอกกับเธอก็กำลังจะหายไป ง่ายๆก็คือ นี่คือหนังที่พูดถึงภาวะกลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวการเริ่มต้นใหม่ ไม่อยากให้ใคร หรือสิ่งใดเข้ามาแทนที่ ซึ่งก็บอกกับผู้ชมว่าบางทีการเริ่มต้นใหม่ก็ไม่ใช่การลืม หรือแทนที่สิ่งที่ผ่านมา หากแต่เป็นการเดินหน้าสร้างเรื่องราวอื่นๆให้ชีวิต แต่ในขณะเดียวก็ยังจดจำทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเอาไว้เหมือนเดิม
เราประเด็น และข้อคิดของเรื่องนะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าระหว่างของหนังยังมีปัญหาอยู่ ส่วนหนึ่งก็คือการลำดับเรื่องที่ทุกอย่างดูเร่งรีบไปหมดจนเสียโอกาสในการสร้างโมเมนต์ไป แม้ว่าฉากมิวสิคัลจะดีไซน์มาดี และหลายๆซีนก็ดูสวยมาก แต่เหมือนหนังไม่เหลือพื้นที่ให้ตัวละครได้พัฒนาความสัมพันธ์ หรือความรู้สึก เลยออกมาค่อนข้างน่าเสียดายพอสมควร โดยเฉพาะเมื่อมันมีเป็นเรื่องที่ Emotional มากๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ส่วนตัวรู้สึกว่าองค์สองประกอบมาไม่ค่อยดี Over the Moon ในช่วงเซ็ตติ้งเรื่อง เกริ่นนำภารกิจ และความต้องการตัวละครค่อนข้างดีเลย แต่พอออกเดินทางปุป ทุกอย่างกลับดูงงๆเร็วๆจนแอบเสียดาย
แม้ว่าภารกิจหลักของหนังจะเป็นการกอบกู้ดวงจันทร์ แต่อย่างที่บอกไป ก็คือหนัง Coming of Age ที่พูดถึงการก้าวข้ามความสูญเสีย และเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน ยอมรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต มนุษย์ไม่อาจสามารถอยู่กับอดีตตลอดไปได้ เพราะเรายังมีวันข้างหน้ารอคอยอยู่ , แม้ว่าหนังจะมีแผลปรากฎให้เห็นอย่างชัดเจน แต่เป็นการชั่วโมงครึ่งที่สนุกเอนจอย และผ่านไปเร็วมาก ใครที่อยากหาแอนิเมชั่นภาพสวยๆดูไม่ควรพลาด ยิ่งใครที่ชอบความมิวสิคัลนี่แนะนำเลยครับ (หนังมีพากย์ไทยด้วย เผื่อใครอยากฟังแบบไทย)
ถ้าทุกคนสังเกตุดี ๆ เมื่อเดือนก่อนจะเห็นว่าทางเน็ตฟลิกซ์ได้ลงทุนโฆษณาเรื่อง Over the moon ตามรถไฟฟ้าบีทีเอสเลยกันเลยทีเดียว นี้เป็นแอนิเมชั่นอีกเรื่องที่ทางเน็ตฟลิกซ์ได้ทุ่มทุนโปรโมตเรื่องนี้อย่างเต็มที่เลยก็ว่าได้ โดยเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ออริจินัลแอนิเมชั่นเรื่องใหม่ของเน็ตฟลิกซ์ภายใต้การดูแลของสตูดิโอ Netflix/Pearl Studio และ Glen Keane Productions ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานเรื่องนี้ โดยได้ผกก.ที่มีผลงานจากการเขียนบทเรื่อง ทาร์ซาน และทำแอนิเมชั่นร่วมกับดิสนีย์มาอีกมากมาย ก่อนที่จะมาเปิดสตูดิโอเป็นของตนเอง เรื่องนี้จึงไม่แปลกใจที่จะมีกลิ่นอายของความเป็นแอนิเมชั่นจากดิสนีย์เลย
ซีรีส์ Everything By Nottchakun
#Info Over the Moon
– ความยาว 1 ชั่วโมง 40 นาที
– พล็อตเรื่องแฟนตาซี / ผจญภัย
– เป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นมิวสิคเคิล แบบอริจินัลของ NETFLIX
– เรื่องราวฉากหลังเกิดขึ้นที่ประเทศจีน
#รีวิว
ก่อนที่จะพูดถึงความดีงามของแอนิเมชั่นเรื่องนี้ สิ่งที่ผมอยากพูดให้ชัดเจนก่อนคือ นี่คือการรีวิวที่ไม่ได้ยกเอา Inside Out มาเปรียบเทียบกับ Over The Moon โดยตรง เพราะทั้งสองเรื่องมีสารที่ต้องการจะสื่อแตกต่างกัน แต่เรื่องหนึ่งที่ทั้งสองเรื่องมีเหมือนกัน คือการยอมรับความเศร้าในใจของเราเพื่อที่เราจะได้ดินหน้าต่อไป
พล็อตเรื่องของ Over The Moon ไม่ได้มีอะไรใหม่มากนัก เป็นการหยิบเอาตำนานของฉางเอ๋อ เทพธิดาบนดวงจันทร์มาเป็นกิมมิค แล้วผูกเข้ากับชีวิตอันแสนธรรมดาของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อว่า “เฟยเฟย” เรื่องแรกที่ต้องชื่นชม คือ แอนิเมชั่นเรื่องนี้ ให้ความรู้สึกถึงความเป็นจีนแบบสมัยนิยมได้ค่อนข้างดี เพราะ เฟยเฟย โตขึ้นมาในครอบครัวที่มีทั้งความเชื่อแบบวิทยาศาตร์ และความเชื่อ ความศรัทธาต่อเรื่องราวเหนือธรรมชาติอย่างลงตัว เพราะโดยส่วนตัวแล้วผมชอบพาร์ทเรื่องเล่าเกี่ยวกับตำนานของ ฉางเอ๋อ มาก ทั้งภาพประกอบ และบทเพลงทำได้ดีมากจริงๆ
ในขณะที่ตัวละครอย่าง ชิน บันจี้ เจ้าหยก และหมาอวกาศ ทำให้ผมนึกถึงตัวแทนของอารมณ์ทั้ง 5 และเจ้าบิงบอง จากเรื่อง Inside Out เพราะแต่ละตัวละครล้วนมีส่วนช่วยให้ เฟยเฟย เติบโตขึ้นจริงๆ โดยเฉพาะตัวละครสำคัญอย่าง “ฉางเอ๋อ” ที่เป็นทั้งจุดเริ่มต้นของการออกเดินทางของ และเป็นจุดเริ่มต้นการผจญภัยบนดวงจันทร์ของ เฟยเฟย จุดที่ผมชอบมาก คือ ตัวละครนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบเลย
แม้ว่าจะเป็นอมตะในฐานะเทพธิดาบนดวงจันทร์ก็ตาม เพราะบางสิ่งบางอย่าง ต่อให้เป็นเทพก็ไม่มีวันได้ครอบครองเหมือนกัน โดยรวมแล้ว Over The Moon จึงเป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นอีกหนึ่งเรื่อง ที่เล่าเรื่องออกมาได้อย่างน่าสนใจ และมีสไตล์เป็นของตัวเองจริงๆ ผมให้คะแนนความน่าดู 8 / 10 คะแนน ครับ