ดูหนัง The Marvels (2023) เดอะ มาร์เวลส์ แครอล แดนเวอร์ส หรือที่รู้จักกันในฐานะ กัปตันมาร์เวล ได้ทำการทวงคืนตัวตนของตัวเองอีกครั้งจากพวกครีหัวรุนแรง รวมถึงการล้างแค้นมหาจอมปัญญา แต่การกระทำของเธอดันส่งผลที่ไม่ได้คาดคิด แครอลจึงต้องแบกรับภาระของจักรวาลที่กำลังสั่นคลอน วันหนึ่งในขณะที่เธอถูกส่งไปยังรูหนอนที่เชื่อมต่อกับการปฏิวัติชาวครี พลังซูเปอร์พาวเวอร์ของเธอดันเกิดพันกันกับพลังของ กมล่า ข่าน หรือ Ms. Marvel หญิงสาวจากเมืองเจอร์ซี และกัปตันโมนิก้า แรมโบ หลานสาวที่เหินห่างของเธอ ซึ่งเป็นกัปตันประจำสถานีอวกาศ S.A.B.E.R. แม้จะดูไม่น่าข้องเกี่ยวกันได้ แต่ทั้งสามคนต้องร่วมมือกันเรียนรู้ที่จะทำงานเป็นทีมเพื่อปกป้องจักรวาลในฐานะ “เดอะ มาร์เวลส์”
อ่านรีวิวก่อน ดูหนังนักแสดง
Brie Larson
Teyonah Parris
Iman Vellani
Samuel L. Jackson
ผู้กำกับ
Nia DaCosta
รีวิวหนัง The Marvels ดูหนัง
หลังเหตุการณ์ปลดแอกจากชาวครีใน ‘Captain Marvel’ (2019) ปีนี้ ตัวแม่ บรี ลาร์สัน (Brie Larson) นักแสดงดีกรีออสการ์เจ้าของบท แครอล เดนเวอร์ (Carol Danvers) หรือ กัปตันมาร์เวล ซูเปอร์ฮีโรหญิงพลังคอสมิก กลับมาอีกครั้งใน ใน ‘The Marvels’ หนัง MCU เฟส 5 เรื่องสุดท้ายของปี 2023 ที่กว่าจะได้ดูต้องเลื่อนฉายรัว ๆ มาแล้วถึง 5 ครั้งภายใน 2 ปี
โดยภาคนี้ได้ เนีย ดาคอสตา (Nia DaCosta) ผู้กำกับหญิงเก่งจากหนังสยองขวัญ ‘Candyman’ (2021) มารับหน้าที่กำกับ และเขียนบทร่วมกับ เมแกน แม็กดอนเนลล์ (Megan McDonnell) จากซีรีส์ ‘WandaVision’ (2021) และ เอลลิสซา คาราซิก (Elissa Karasik) จากซีรีส์ ‘Loki’ ซีซันแรก (2021)
แถมคราวนี้ไม่ได้มาแค่คนเดียว แต่ยังพ่วงเพื่อนสาวรุ่นหลาน (ถ้านับตามอายุในหนังก็คือหลานแหละ) ทั้ง โมนิกา แรมโบ (Monica Rambeau) เจ้าหน้าที่หน่วย S.W.O.R.D. จากซีรีส์ ‘WandaVision’ (2021) และน้องเล็ก กมลา ข่าน (Kamala Khan) สาวน้อยพลังมิวแทนต์กับกำไลวิเศษ จากซีรีส์ ‘Ms. Marvel’ (2022) แถมยังพ่วงลุง นิก ฟิวรี (Nick Fury) จากซีรีส์ ‘Secret Invasion’ มาร่วมภารกิจด้วย
เรื่องราวจะต่อมาจากทั้งตอนจบใน ‘Captain Marvel’ และใน End-Credits ของซีรีส์ ‘Ms. Marvel’ ครับ หลังจากที่ แครอล เดนเวอร์/กัปตันมาร์เวล (บรี ลาร์สัน – Brie Larson) ไปทวงแค้นกำจัด มหาจอมปัญญา (Supreme Intelligence) เรียบร้อย ทำให้ชาวครีถึงกับเดือด ดาร์-เบนน์ (ซาวี แอชตัน – Zawe Ashton) ผู้นำจอมปฏิวัติ จึงได้นำกองทัพชาวครี ไล่ยึดเอาทรัพยากรจากดาวอื่น ๆ มาเป็นของตนเอง ด้วยการเจาะรูหนอนข้ามมิติไปยังดาวต่าง ๆ ทั่วจักรวาล
พลังที่ปลดปล่อยจากรูหนอนเหล่านี้แหละที่ส่งผลปั่นป่วน เมื่อใดที่ทั้งแครอล โมนิกา แรมโบ (เทโยนาห์ แพร์ริส – Teyonah Parris) เจ้าหน้าที่หน่วย S.A.B.E.R. และ กมลา ข่าน/มิสมาร์เวล (อิมาน เวลลานี – Iman Vellani) ใช้พลังคอสมิกที่ตัวเองมีพร้อม ๆ กัน ก็จะเกิดอาการวอร์ป สลับที่สลับตัวทุกทีไป พวกเธอ และ นิก ฟิวรี (แซมมวล แอล แจ็กสัน – Samuel L. Jackson) ที่อาศัยอยู่บนสถานีอวกาศ S.A.B.E.R. จึงต้องหาทางแก้ไขโดยด่วน
สิ่งที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงในภาคนี้ก็คือ ตัวหนังเลือกที่จะลดความซีเรียสจริงจัง เป็นหนังซูเปอร์ฮีโรจัด ๆ เล่าแบบสลับเส้นเรื่องในภาคแรกลง มาสู่เรื่องราวที่กระชับ เล่าเป็นเส้นตรงมากขึ้น เพิ่มสัดส่วนจังหวะความตลกโบ๊ะบ๊ะ และเรื่องราวเกรียน ๆ แบบหนังยุคหลังแทน รวมทั้งประเด็นครอบครัว รวมทั้งคาแรกเตอร์และบรรยากาศในแบบตัวละครหลัก 3 ตัวเข้าไป ทั้งความเป็นฮีโรบ้างานที่มีมุมเทา ๆ ของแครอล ความติดเนิร์ด และปมการสูญเสียแม่ไปโดยไม่ทันได้บอกกล่าวของโมนิกา ความเป็นเด็กช่างฝัน เป็นติ่งพี่แครอล และการผจญภัยพิบัติระดับอวกาศครั้งแรกของกมลา ลดสัดส่วนประเด็นความเป็นพลังหญิงแบบในภาคแรกลง เหลือเพียงฟอร์มการปะทะระหว่าง ฮีโรหญิง VS ตัวร้ายหญิง
สิ่งที่ผู้เขียนชอบอย่างแรกก็คือ การแบ่งบทบาทของตัวละครครับ แน่นอนว่า แม้ตัวละครบางตัว (แครอล+กมลา) จะมีคนที่ไม่ชอบอยู่แหละ แต่การวางเรื่องราว การเกลี่ยเรื่องราวของ 3 ตัวละครก็ถือว่าทำออกมาได้น่าพอใจและดูไหลลื่นดี แม้จะดูไม่เข้ากัน แต่ 3 คน 3 แบบคือการเติมเรื่องราว เคมี สีสัน ความหลากหลาย มาอยู่ในจุดกึ่งกลางได้น่าสนใจ
และที่ทำได้ดีก็คือ การใส่ลูกเล่นการวอร์ประหว่างปล่อยพลัง ทำให้ฉากแอ็กชันในหนังทำออกมาได้ตื่นตามาก ๆ รวมไปถึงสีสันขโมยซีนจาก นิก ฟิวรี และน้องกูส (ที่คราวนี้รับบทโดยแมวส้ม 2 ตัว คือน้องแทงโก (Tango) และน้องนีโม (Nemo)) รวมทั้งบรรดาน้อน ๆ เฟลอร์เคน (Flerken) แมวเอเลียนรุ่นใหม่ ที่มีซีนเป็นของตัวเองอีก เรื่องราวของคนเป็นไงไม่รู้ นานาจิตตัง แต่แมว ๆ นี่คือเอาใจคนดู (และผู้เขียน) ไปก่อนเลย
โดยรวมสำหรับผู้เขียนถือว่าตัวหนังทำได้บันเทิงกว่าภาคแรก มีการนำเอาแนวทางในแบบหนัง MCU ยุคใหม่มาใช้ แต่ภาพรวมก็ยังถือว่าเป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ ที่ยังคงใช้สูตรสำเร็จของ หนัง Marvel ยุคเก่า ๆ ที่ต้องยอมรับว่าในหลาย ๆ จุดก็ดูเหมือนจะขับเคลื่อนด้วยอาการหมดมุกจริง ๆ ด้วย 1 ชั่วโมง 45 นาที แม้มันจะดีในแง่ของความกระชับไม่เยิ่นเย้อไม่ปวดฉี่ แต่มันก็ทำให้การเล่าเรื่องบางจุดทำออกมาได้ไม่ชัดเจน มีอาการรีบร้อนเล่าเรื่อง เช่นเส้นเรื่องความสัมพันธ์ตึง ๆ ของแครอล (น้าบ้างานที่มีมุมเทา ๆ ) กับโมนิกา (หลานขี้เหงาที่แม่ตายตอนโดนดีดนิ้ว) ที่เล่าเอาไว้เพียงบาง ๆ จนไม่แน่ใจว่าจะมีอารมณ์ร่วมไปด้วยดีไหม
pantip
ถึงว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงกระแสค่อนข้างเงียบและดูท่าทีว่าจะเจ๊งยับแบบที่หลายๆ สำนักข่าวจากต่างประเทศรายงาน ส่วนตัวสำหรับผม กัปตันมาร์เวล คือซุปเปอร์ฮีโร่ที่โคตรแข็งแกร่งมากๆ ในหมู่มวลของค่าย Marvels แล้ว ซึ่วตามธรรมเนียม เราก็ต้องคาดหวังว่าจะเห็นอะไรที่มันยิ่งใหญ่อลังการเอามากๆ สำหรับในหนังเรื่องนี้ แต่พอดูจบผมได้แต่ผิดหวังกับสิ่งที่มันเพิ่งผ่านตาไป
เรื่องราวของ แครอล แดนเวอร์ส หรือที่รู้จักกันในฐานะ กัปตันมาร์เวล ได้ทำการทวงคืนตัวตนของตัวเองอีกครั้งจากพวกครีหัวรุนแรง รวมถึงการล้างแค้นมหาจอมปัญญา แต่การกระทำของเธอดันส่งผลที่ไม่ได้คาดคิด แครอลจึงต้องแบกรับภาระของจักรวาลที่กำลังสั่นคลอน วันหนึ่งในขณะที่เธอถูกส่งไปยังรูหนอนที่เชื่อมต่อกับการปฏิวัติชาวครี พลังซูเปอร์พาวเวอร์ของเธอดันเกิดพันกันกับพลังของ กมล่า ข่าน หรือ Ms. Marvel หญิงสาวจากเมืองเจอร์ซี และกัปตันโมนิก้า แรมโบ หลานสาวที่เหินห่างของเธอ ซึ่งเป็นกัปตันประจำสถานีอวกาศ S.A.B.E.R. แม้จะดูไม่น่าข้องเกี่ยวกันได้ แต่ทั้งสามคนต้องร่วมมือกันเรียนรู้ที่จะทำงานเป็นทีมเพื่อปกป้องจักรวาลในฐานะ “เดอะ มาร์เวลส์”
ต้องบอกว่าผิดคาดจากความคาดหวังที่สูงลิบไปเยอะ จาก Captain Marvels ภาคแรกที่ทำไว้ค่อนข้างดี และสร้างความน่าประทับใจจากตัวละครซุปเปอร์ฮีโร่คนใหม่ขึ้นมา กับเรื่องราวของภาคนี้ที่เดินเรื่องตามสูตรแบบไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ การนำซุปเปอร์ฮีโร่สาวสามคนในเส้นเรื่องของกัปตันมาร์เวลมารวมตัวกัน มันมีความเกี่ยวโยงกันแหละ แต่มันไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรที่มันจะบ่งบอกใ้เกิดควาเป็นทีมสักเท่าไหร่ เหมือนจับมาโยงกันเพื่อให้ได้ทีมแค่นั้น
ภารกิจที่ต้องทำ เรื่องราวที่ต้องแก้ไข หรือปัญหาของตัวละครแต่ละคนที่ต้องคลี่คลาย มันก็เหมือนแปะๆ ผสมๆ กันเข้ามาใหเรื่องราวมันผ่านไปและจบลง ดูแล้วมันก็ได้แต่ อ๋อ โอเค แบบนี้เองหรอ อืม โอเคนะ แค่นั้น และยังใส่อะไรที่ไม่จำเป็นเขามาอีกเยอะแยะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นดาวที่ใช้การร้องเพลงแทนการสื่อสาร หรือแมวที่เต็พื้นที่เรื่องไปหมด ซึ่งส่วนตัวผมว่าตัดออกก็ไม่ได้มีอะไรสำคัญ
ตัวร้ายของเรื่องก็ อืมมม นะ ไม่รู้สิ มันไม่ค่อยมีความน่าเกรงขามสักเท่าไหร่ มาเพื่อแยางกำไร มีฆ้อนที่แข็งแกร่งมาก แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรจากมัน แล้วยิ่งกองทัพของตัวร้ายที่ช่างกากซะเหลือเกิน มาเยอะก็เท่านั้น ไม่ได้มีพิษสงอะไรเลยด้วยซ้ำ
นอกจากเนื้อเรื่องแล้ว ฉาก CG ต่างๆ ก็ไม่ได้หวือหวา หรือแม้แต่ฉากแอ็คชั่นของมาร์เวลที่เคยระเบิดจอมาแล้วจากหลายๆ เรื่อง ในเรื่องนี้ก็ไม่ได้โดดเด่น ดูธรรมดาซะด้วยซ้ำ เรียกว่าน่าผิดหวังทุกองค์ประกอบ
หรืออาจจะเป็นว่าเราจะดูหนังซุปเปอร์ฮีโร่มากเกินไปจนอิ่มตัวแล้วก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่หนังเรื่องนี้มีความยาวไม่ถึง 1 ชั่วโมง 40 นาทีด้วยซ้ำ แต่ทำไมส่วนตัวผมถึงดูไม่สนุกสักเท่าไหร่ แต่ก็ลองไปดูกันครับ อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้น บางทีคุณอาจจะดูแล้วสนุกก็ได้นะ
online-station
การกลับมาของภาคต่อรอบนี้ในวันเวลาที่ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่และ MCU ไม่ได้รับความนิยมในระดับเดิม จึงเป็นทั้งความท้าทายและความเสี่ยงที่ทางสตูดิโอจะมีหนังที่ไม่เข้าเป้าอย่างต่อเนื่อง ทางค่ายหนังก็เหมือนจะรู้ตัวเลยอาจจะไม่ได้ลงทุนกับการโปรโมทนัก ส่งผลให้คนดูก็ลดความคาดหวังลงไปด้วย แต่ก็คงเพราะลดความคาดหวังนี่แหละ ทำให้ระหว่างดูเราถึงรู้สึกว่าเออ “สนุกดีว่ะ” เฉยเลย
เช่นเคยกับหนัง MCU ยุคหลังๆ The Marvels มีเนื้อเรื่องถัดมาจาก Endgame และพยายาามจะสานต่อตัวเองจากภาคแรกของมัน โดยมีอีก 2 ตัวละครจากซีรีส์อย่าง โมนิกา แรมโบ และ กมลา ข่าน มาแทคทีมเพิ่มลูกเล่นด้วย ถ้าหากถามว่าต้องดูอะไรมาก่อนบ้าง นอกจากหนัง MCU ที่เกี่ยวข้องแล้วอีก 2 เรื่องที่อาจต้องทำการบ้านหน่อยก็คือซีรีส์ Wanda Vision และ Ms. Marvels ก็พอจะครอบคลุมแล้ว หรือพูดให้ถูกคืออยากให้รู้จักฮีโร่อีก 2 รายก่อนมาดูนั่นแหละ
The Marvels เปนอะไรที่ผมรู้สึกว่าตรงข้ามกับ Captain Marvel โดยสินเชิง ภาคแรกพยายามจะเข้มแต่ไปไม่สุดสักอย่าง แต่ภาคนี้ก็เล่นง่ายเข้าว่าและไปในทางตลกโปกฮา The Marvels เป็นเหมือนหนังที่กลวงมากๆ และแทบไม่มีอะไรให้จดจำ แต่ในความกลวงของมันกลับอบอวลไปด้วยแก๊สหัวเราะ และสารแห่งความบันเทิง ที่ทำให้เรารู้สึกเลยว่าอย่างน้อยที่สุดมันก็เป็นหนังที่เราพูดได้เต็มปากว่าสนุกดี ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นในหนัง MCU ยุคหลังๆ เท่าไหร่
ตัว Captain Marvel ภาคนี้ถูกอนุญาตให้มีความอ่อนแอมากขึ้น เพื่อเปิดแผลให้ตัวละครอีก 2 ตัวเข้ามาช่วยเยียวยา ก่อกำเนิดทีมสาวสาวสาวที่เคมีโอเคเลย ตอนใช้พลังแล้วสลับกันคือวายป่วงมาก เป็นซีนที่มีความครีเอตดี ขณะที่การไปดาวน้ำของตัวละคร พัค ซอจุน ก็ได้เห็นซีนมิวสิคัลที่แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ แต่ก็ชวนขำไม่หยอกและเราค่อนข้างชอบเลย น่าเสียดายที่ตัวละครเจ้าชาย Yan ของ พัค ซอจุน นั้นบทน้อยไปหน่อย แต่ก็อาาจหวังได้ว่าจะมีบทบาทเพิ่มเติมในอนาคต ส่วนใครเป็นทาสแมวก็ต้องบอกว่าฟินแน่นอน ในตัวอย่างมีเท่าไหน ในหนังจริงบวกไปอีกหลายเท่าจุกๆ
ข้อเสียก็เดิมๆ ตัวร้ายประเภทใช้แล้วทิ้งไม่น่าจดใจ การตัดต่อคุ้มดีคุ้มร้าย ดูออกว่าหั่นไปพอสมควรจากการที่ทำให้หนังกระชับเหลือฉายไม่ถึง 2 ชั่วโมง การขยี้อารมณ์ยังไม่สุด ซีนต่อสู้สเกลไม่ใหญ่ทั้งๆ ที่เป็นการต่อสู้ของคนมีพลังระดับคอสมิค และเนื้อเรื่องในภาพรวมที่ไม่ค่อยเดินเท่าไหร่ เว้นแต่ช่วง เอนด์เครดิตแรกที่คนในโรงโห่ร้องกันแทบคลั่ง ขณะที่เนื้อเรื่องในภาพรวมก็เหมือนเล่นง่ายๆ ไม่น่าจดจำ เหมือนเป็นซีเควนส์เล็กๆ ในการผจญภัยภาพใหญ่ แต่เพราะหนังเจียมเนื้อเจียมตัวแบบนี้ผลลัพท์ที่ออกมามันเลยดีกว่าที่คาดล่ะมั้ง