ดูหนัง The Good the Bad the Weird (2008) โหด บ้า ล่าดีเดือด
นักล่าค่าหัว นักเลง และโจรปล้นรถไฟต้องผนึกกำลังกันตามหาขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในแมนจูเลียช่วงยุค 1930 ก่อนที่แก๊งคู่อริและกองทัพญี่ปุ่นจะมาชิงไป ในทะเลทรายอันรกร้างของแมนจูเรีย ในปี 1939 ไม่กี่เดือนก่อนที่ สงครามโลกครั้งที่สองจะเริ่มต้นขึ้นพัคชางอี ผู้ร้าย ( ลี บยองฮุน ) —โจรและมือปืน — ได้รับการว่าจ้างให้ไปรับแผนที่ขุมทรัพย์จากเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นที่เดินทางโดยรถไฟ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะได้มันมา ยุนแทกู ผู้ประหลาด ( ซอง คังโฮ ) — โจร — ได้ขโมยแผนที่ไปและถูกจับกุมในข้อหาจี้รถไฟโดยผู้ร้าย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสังหารทหารญี่ปุ่นและแมนจูเรีย รวมถึงพลเรือนหลายคน พัคโดวอน ผู้ดี ( จอง วูซอง ) —นักล่าเงินรางวัลผู้มีสายตาเฉียบแหลม — ปรากฏตัวขึ้นที่เกิดเหตุเพื่อเรียกร้องเงินรางวัลจากชางอี ในขณะเดียวกัน
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดง
Song Kang ho ซง คัง โฮ

Lee Byung-hun

Jung Woo-sung

ผู้กำกับ : คิม จี-วุน
รีวิว
หนังโปรดของข้าพเจ้า
พล็อตมันก็ง่าย ๆ ‘แทกู’ (ซง คังโฮ) ถูกจ้างให้ขโมยแผนที่จากพวกญี่ปุ่น แม้จะรู้ดีว่าคู่แข่งคือ ‘พัค ชางยี’ (อี บยองฮอน) นักฆ่าสุดโหดที่มีลูกน้องเป็นแก๊งใหญ่ ส่วน ‘โดวอน’ (จอง อูซอง) เป็นนักล่าค่าหัวฝีมือระดับเทพที่มาตามหาแผนที่และล่าค่าหัวชางยีด้วยพอดี จึงเกิดเป็นการชุลมุนไล่ตามแผนที่กันให้วุ่น ซึ่งแทกูเป็นคนครอบครองแผนที่จึงต้องหนีจากการถูกทุกฝ่ายตามล่า
.
หนังสนุกเพลิน ๆ ไล่ตามล่ากันทั้งเรื่อง เสียอย่างเดียวพวกคิวบู๊ใช้ปืนเล่นเอาตัวประกอบกลายเป็นเกรดสตอร์มทรูปเปอร์ คือต่อให้เป็นโทนคอเมดี้ก็ยังรู้สึกว่ามันมีความไม่สมจริงมากเกินไปจนไม่ได้ลุ้น อย่างฉากตอนท้ายขี่ม้าไล่ล่ากันกลางทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา แทนที่จะบันเทิงกับการล่าแบบไม่มีพัก ดันแอบหงุดหงิดฉากตัวเอกโดนไล่ยิงเป็นร้อยนัดแต่ตัวประกอบยิงไม่โดนสักนัด ออกแนวเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา ซึ่งถ้ามีแค่สองสามจังหวะคงปล่อยผ่านได้ แต่พอเจอยาว ๆ แอบกร่อย ถึงอย่างนั้นฉากตอนท้ายนี่ก็อลังการอยู่ ทุกแก๊งทั้งพวกญี่ปุ่นและโจรยกกองทัพมาตามล่าแผนที่ผืนเดียวกันไม่มีสิ้นสุด
.
ความเป็นการ์ตูนของหนังเลยทำให้เรารู้สึกว่ามันเอาเซ้นส์ความตลกแบบหนังเกาหลีใต้ยุค 2000’s มาผสมกับพล็อตแนวคาวบอยอิตาเลียนแล้วกลายเป็นหนังผจญภัยที่ตั้งตัวเป็น Kimchi Western ได้ ด้วยเซ็ตติ้งก็เป็นช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง สามารถแตะ ๆ การเมืองความขัดแย้งกับญี่ปุ่นและพูดเรื่องความรักชาติได้เบา ๆ เป็นกลิ่นอายเฉพาะตัวของเกาหลีใต้ เสร็จแล้วประเคนฉากแอ็คชั่นมันส์ ๆ ใช้พวกลูกเล่นสถาปัตยกรรมฝั่งเอเชียมาออกแบบคิวบู๊เฉพาะตัว ซึ่งคิม จีวุน ทำออกมาได้กลมกล่อมพอให้เราที่เป็นแฟนหนังคาวบอยยกนิ้วให้