ดูหนัง Spider-Man All Roads Lead to No Way Home (2022) JB Smoove และ Martin Starr เป็นเจ้าภาพจัดงานเฉลิมฉลองภาพยนตร์ “Spider-Man” ครบรอบ 20 ปี ตั้งแต่ไตรภาคของ Sam Raimi ไปจนถึงภาพยนตร์ของ Marc Webb และภาพยนตร์สามเรื่องจาก Jon Watts
อ่านบทความ ดูหนัง สไปเดอร์ แมน โฮมคัมมิ่ง Spider Man Homecoming
อ่านบทความ ดูหนัง สไปเดอร์ แมน ฟาร์ ฟอร์ม โฮม Spider Man Far from Home
อ่านบทความ ดูหนัง สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม Spider Man No Way Home
อ่านรีวิวก่อน ดูหนังนักแสดง
J.B. Smoove
Martin Starr
ผู้กำกับ
–
รีวิวหนัง Spider-Man All Roads Lead to No Way Home (2022) ดูหนังออนไลน์
ประทับใจแบบมากๆ ตลอดทั้งเรื่องมันเต็มไปด้วยน้ำตา รอยยิ้ม และความปลื้มปิติที่อัดแน่นอยู่ในใจซึ่งพร้อมจะระเบิดตู้มใหญ่ออกมาได้ตลอดเรื่อง แฟนคลับสไปเดอร์แมนคือห้ามพลาดเด็ดขาด เพราะนี่อาจจะเป็นสไปดี้ที่อิ่มที่สุดเท่าที่เคยดูมาเลยก็ได้
รีวิวส่วนบนนี้ไม่มีสปอย ใครดูแล้วสามารถเม้ามอยกันได้ที่ส่วนล่างของรีวิว เดี๋ยวเรากั้นแบ่งเขตไว้ให้ค่ะ
สำหรับเราแล้ว เรารู้สึกว่าสไปเดอร์แมนเวอร์ชันทอมฮอลแลนด์เป็นเวอร์ชันที่เราชอบน้อยที่สุดแล้ว เรารู้สึกว่าปีเตอร์นี้เด็กมากๆ เมื่อเทียบกับคนอื่น แล้วดูเหมือนชีวิตเค้าจะวนอยู่แค่กับเรื่องเพื่อน เรื่องโรงเรียน เรื่อง MJ หรือเรื่องการเป็นติ่งอเวนเจอร์ เราไม่ค่อยได้เห็นความจริงจังในความเป็นฮีโร่ของเขาซักเท่าไหร่นัก
เราชอบนะ ในการที่มาร์เวลตีความสไปเดอร์แมนในรูปแบบของหนัง coming of age มีโทนี่คอยดัน คอยดูแล และเห็นสไปดี้ในความเป็นเด็ก แต่ก็ต้องยอมรับว่าเราเฝ้ารอวันที่สไปเดอร์แมนเวอร์ชันนี้จะเติบโต และคู่ควรกับการเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ที่คู่ควรกับโควทอันทรงคุณค่าอย่าง ‘พลังอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง’ นี่ซักที และในที่สุด วันนี้ก็มาถึง
Spider-Man All Roads Lead to No Way Home สิ่งนึงที่เราชอบมากๆ ในภาคนี้คือการที่ได้เห็นปีเตอร์เติบโตขึ้นแบบมากๆ หลังจากที่ภาคก่อนๆ ยังเป็นเด็กน้อยสไปเดอร์แมนที่ไม่รู้ประสีประสา สร้างความวุ่นวายทั่วไปหมด (จริงๆ ภาคนี้ก็เช่นกัน55555) แต่ภาคนี้เค้าเรียนรู้ เติบโต และกล้าหาญ พร้อมที่จะเสียสละในฐานะซุปเปอร์ฮีโร่ คือเรามองเห็นเขาพร้อมที่จะก้าวเข้ามายืนเคียงข้างรุ่นพี่ในฐานะทีมคนนึงได้แล้ว ไม่ใช่เด็กดันของโทนี่อีกต่อไป
ในภาคนี้เราได้เห็นการส่งอารมณ์ที่รุนแรงของทอม ฮอลแลนด์ และก็ต้องยอมรับว่าโมเม้นการส่งอารมณ์ของเขาดีมากๆ จริงๆ สายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้า ความโกรธ ความเข้าใจของเขามันชัดเจนและมีพลัง เห็นได้ชัดเลยว่านี่ไม่ใช่สไปดี้คนเดิมแล้ว มันดีมากจริงๆ (แต่คงไม่ไปถึงออสการ์แบบที่น้องทอมโม้ไว้ ฮ่าาาา)
เรื่องของพล็อตเราว่ามันอาจจะยังเล่นได้ไม่มากพอ ทุกอย่างเหมือนรีบเข้ามาแล้วก็ต่อไปมากไปนิดหน่อย เลยทำให้อารมณ์และแก่นของพล็อตอาจจะยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ รวมถึงซีนแอคชันที่ไม่ได้สนุกตื่นเต้นมากขนาดนั้น เลยทำให้ส่วนนี้ค่อนข้างจางไปนิดนึงสำหรับเรา (เราคิดว่าซีนแอคชันต่างๆ มันจะไปเยอะกว่านี้มากๆ พอสู้เสร็จมันเลยมีคำว่า ‘แค่นี้เหรอ’ แอบแว้บเข้ามาในหัวนิดหน่อย)
ความเป็นมัลติเวิร์สจากทีเซอร์ไม่ได้เล่นอะไรโดดเด่นมากในภาคนี้ เหมือนเป็นอารัมภบทที่ยกให้สไปดี้ก่อนจะเข้าสู่เนื้อเรื่องหลักในหมอแปลก 2 ซะมากกว่า ซึ่งเรารู้สึกว่ามันน่าสนใจมากๆ ที่เอาสไปเดอร์แมนมาเป็นตัวเปิดให้หมอแปลก เพราะความเป็นสไปเดอร์แมนเนี่ยมันเล่นกับมัลติเวิร์สได้ดีมากๆ ฉลาดมากๆ ที่เล่นแบบนี้ ได้ทั้งใจคน ได้ทั้งต่อเนื้อเรื่อง
สิ่งสำคัญที่ทำให้ NWH ควรค่าแก่การมาดูคือเซอร์วิสที่ดีงามมากๆ เหมือนผู้กำกับเค้ารู้แหละว่าคนดูอย่างเราอยากเห็นอะไร เรียกได้ว่าใส่มาสุดไม่มีอั้น ดีใจที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้ดูสิ่งนี้ เพราะมันเต็มไปด้วยความอิ่มฟูของความรู้สึกที่มีต่อความเป็นสไปเดอร์แมนแบบมากๆ หนังเค้าใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่มีคุณค่าต่อแฟนหนัง และถ่ายทอดมันออกมาได้ดี น่าประทับใจ และเราคิดว่าความรู้สึกนี้มันจะอยู่ในใจเราไปได้อีกนาน
trueid
ก็ผ่านไปแล้วกับภาพยนตร์เรื่อง Spider-Man No way Home เจ้ามนุษย์แมงมุมที่เข้าโรงไปแล้วเมื่อวันที่ 17 ธันวาคมของปีที่แล้ว โดยงานนี้ตัวเอกของเราอย่าง Spiderman ต้องรับมือหนักกับการโดนโจมตีของสังคมที่จากในภาคที่แล้วนั้นตัวของ Mysterio ได้ฝากรอยแผลใหญ่ให้กับปีเตอร์ของเราโดยการป่าวประกาศออกสื่อว่าตัวจริงของ Spiderman นั้นเป็นใคร นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ปีเตอร์ต้องตามหาวิธีแก้ไขเรื่องนี้จนไปถึงมือของหมอแปลกอย่าง Doctor Strange นั่นเอง
จากที่ได้ดูกันมาแล้วนั้นเราจะเห็นได้ว่าตอนแรกทาง Doctor Strange นั้นได้ตอบตกลงยินดีที่จะช่วยเหลือปีเตอร์ด้วยการลบความทรงจำของคนที่รู้จักตัวตนของเขา แต่เรื่องกลับไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อความลังเลของปีเตอร์ทำให้เวทยมนตร์ของหมอแปลกไม่เสถียรจนถึงขั้นระเบิดออกมา และทำให้บางอย่างจากมิติอื่นที่พวกเขาไม่รู้นั้นเข้ามาปะปนกับคนในจักวาลเดียวกัน
และจากที่เล่ามานี้เองเป็นต้นเหตุของหายนะทั้งหมดที่เกิดขึ้นตลอดทั้งในเรื่อง สิ่งที่ตามมาจากความผิดพลาดของเวทยมนตร์นั้นกำลังจะทำให้จักรวาลต้องตกอยู่ในอันตรายเนื่องจากสิ่งที่หลุดออกมาจากพหุจักรวาลนั้นไม่ได้มีแค่เหล่าฮีโร่ แต่จะเอาภัยร้ายรวมทั้งศัตรูของ Spiderman ทุกตนจากทุกจักรวาลมารวมกันอยู่ในจักรวาลเดียว!
บอกเลยว่าจุดนี้แหละที่เป็นจุดเด่นที่น่าสนใจของเรื่องนี้อย่างมากเนื่องจากตัวละครอย่าง Spiderman เป็นตัวละครที่หลายคนชื่นชอบตั้งแต่เวอร์ชันแรกๆ อย่างภาคการ์ตูน ไปจนถึงภาคคนแสดงรุ่นแรกอย่าง Tobey Maguire และต่อมาเป็นรุ่นของ Andrew Garfield ก่อนจะมาเป็นเวอร์ชันของ Tom Holland อย่างในภาพยนตร์ที่เราคุ้นเคย
เราได้เห็นความสามารถของนักแสดงทั้งสามรุ่นมาแล้ว กับการที่ได้เห็นทั้งสามคนได้เข้ามาอยู่ในจักวาลเดียวกันนั้นเป็นอะไรที่ว้าวมากๆ นอกจากตัวละครอย่าง Spiderman แล้วก็ยังมีตัวร้ายอย่าง Green Gobblin, Sandman, Dr. Otto Octavius และ Electro ที่เป็นนักแสดงรุ่นเก่าๆ และได้นำพวกเขากลับมาลงจอร่วมกันอีกครั้ง
Spider-Man All Roads Lead to No Way Home นำแสดงโดย Tom Holland (Peter Parker/Spiderman), Zendaya (MJ), Benedict Cumberbatch (Doctor Strange), Jacob Batalon (Ned Leeds), Jon Favreau (Happy Hogan) และ Marisa Tomei (May Parker) งานนี้ทางสตูดิโอของ Spiderman No way Home ได้ขนนักแสดงทั้งรุ่นเก่า และรุ่นใหม่มาอยู่ในจอ และอยู่ในจักรวาลเดียวกัน ความสนุกของภาพยนตร์เรื่องนี้สำหรับผู้เขียนคงหนีไม่พ้นกับการที่ตัวละครเก่าๆ อย่าง Spiderman รุ่นก่อนๆ มาร่วมแจมอยู่ในเรื่องเดียวกัน ซึ่งนี่จะเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือการ service แฟนๆ Marvel นั่นเอง
จากที่ดูมาเราได้เห็นแล้วว่าเนื้อเรื่องเป็นอย่างไร สำหรับผู้เขียนแล้วนับว่าสนุก และตื่นเต้นเลยกับการนำเสนอเรื่องราวของจักรวาล Marvel ที่จะมีแพลนขยายจักรวาลให้กว้างขึ้นโดยการนำเสนอตัวละครที่เราคุ้นเคยกันดีจากคนละจักรวาลให้มาอยู่รวมกัน ซึ่งก็น่าติดตามอยู่ว่าเนื้อเรื่องของทางค่ายนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป จะมีอะไรมาทำให้แฟนๆ Marvel ประหลาดใจได้อีกบ้างอันนี้ต้องรอดูกัน
อย่างที่ได้รีวิวไปแล้วนั้นว่า Spider-Man No way Home นั้นสนุก และน่าตื่นเต้นอย่างไร และทางผู้เขียนก็อยากทราบเช่นกันว่าเรื่องนี้จะสนุกสะใจเพื่อนๆ อย่างไร ก็สามารถพิมพ์คอมเมนต์กันมาได้นะครับ สำหรับตัวผู้เขียนแล้วให้คะแนนเรื่องนี้อยู่ที่ 8/10 และท้ายนี้หากเพื่อนๆ ชอบบทความนี้ หรือบทความรีวิวหนังแนวๆ นี้ ก็อย่าลืมคอมเมนต์มาบอกกันด้วย และกดแชร์กันเยอะๆ นะครับ