ดูหนัง John Wick Chapter 4 (2023) จอห์น วิค 4 แรงกว่านรก จะเล่าเรื่องราวต่อจาก John Wick Chapter 3 Parabellum เมื่อจอห์น วิค ถูกคนทั้งโลกตามล่า เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ The High Table หรือ สภาสูง และเข้าร่วมกับฝั่งของ Bowery King ในภาคนี้ John Wick มีเป้าหมายจะโค้นล้มสภาสูง และเขาต้องเผชิญกับนักฆ่ามากมายจากทั่วโลก ทั้งที่เป็นมิตรและศัตรู หลังจากที่ จอห์น วิค (คีอานู รีฟส์) ถูกสภาสูงตั้งค่าหัวตามล่า เขาต้องพยายามเอาตัวรอดทุกวิถีทาง และเขาก็ค้นพบว่าหนทางรอดเดียวที่จะทำให้ชีวิตเขาเป็นอิสระ คือเขาจำเป็นต้องกลับมาเผชิญหน้ากับชะตากรรมที่รอเขาอยู่ และเป้าหมายเดียวคือต้องโค่นสภาสูงให้สำเร็จ ในครั้งนี้เขาต้องรับมือกับศัตรูอำมหิตรายใหม่ที่มีอิทธิพลกว้างขวางไปทั่ววงศ์วานนักฆ่าทั้งโลกผู้พร้อมจะเปลี่ยนมิตรให้กลายเป็นศัตรู เปลี่ยนลมหายใจให้กลายเป็นร่างไร้วิญญาณ เปิดฉากการตามล่าครั้งใหม่ที่กินอาณาเขตแค้นไปถึง 3 ทวีป ทั้งในนิวยอร์ก ปารีส เบอร์ลิน และโอซาก้า
อ่านบทความ ดูหนัง จอห์น วิค 1 แรงกว่านรก John Wick 1
อ่านบทความ ดูหนัง จอห์น วิค 2 แรงกว่านรก John Wick 2
อ่านบทความ ดูหนัง จอห์น วิค 3 แรงกว่านรก John Wick Chapter 3
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดง
คีอานู รีฟส์ Keanu Reeves

Laurence Fishburne ลอเรนซ์ ฟิชเบิร์น

Ian McShane เอียน แม็กเชน

Donnie Yen ดอนนี เยน

ผู้กำกับ
แชด สตาเฮลสกี
รีวิว John Wick Chapter 4 (2023) จอห์น วิค 4 แรงกว่านรก
⭐ หนังหมูกรอบ
🤩 คะแนน: 10/10 ดาว
เข้าฉายแล้วตอนเช้า ในโรงภาพยนตร์ จองตั๋วดูได้เลยนี่มันหนังแอคชั่น ที่เราใช้คำว่า “ไร้ที่ติ” ได้เลย!ภาคนี้ถือเป็นบทสรุปที่แท้จริงของหนัง John Wick ทุกภาค ซึ่งเราเชื่อว่าใครที่ติดตามดูหนังมาแล้วทุกภาค จะต้องน้ำตาซึมแน่นอน เพราะตัวเรื่องหยิบใช้องค์ประกอบที่ถูกเกริ่นไว้ในทุกภาคมาใช้ได้คุ้ม พร้อมกับปูไปหาสิ่งที่ทะเยอทะยานกว่าเดิมไปอีก ทีมงานเขาไม่หมดมุกง่าย ๆ เลยเมื่อพูดถึง John Wick ก็ต้องนึกถึงฉากแอคชั่นสุดตระการตา เต็มไปด้วยความแฟนตาซี แต่ก็ยังอยู่ในพื้นฐานความเป็นจริงอย่างเต็มขั้น ซึ่งภาคนี้ก็ยกระดับฉากแอคชั่นให้เหนือชั้นกว่าเดิม ทั้งเรื่องคือเต็มไปด้วยไฮไลต์แทบไม่หยุดพักเลยฉากเปิดที่เน้นแอคชั่นหนัก ๆ อย่างที่โรงแรมคอนติเนนทัลสาขาโอซาก้า ว่าเดือดแล้ว พอไปถึงช่วงกลางเรื่องจนถึงครึ่งหลัง นี่คือการวิ่งมาราธอนที่อัดแน่นด้วยความมันส์
ความระทึก แทบลืมหายใจ ขอไล่เรียงตั้งแต่ฉากช่วงประตูชัยปารีสเป็นต้นไป ก็คือไม่หยุด และสรรหาไอเดียแปลกใหม่มาใช้กับฉากเหล่านี้ได้อย่างประทับใจ เอาจริงคือเล่าตรงนี้ อาจจะไม่เดือดเท่าไปดูของจริง สำหรับฉากขับรถตรงประตูชัยคือทำยากมาก ๆ ในมุมมองของการถ่ายทำ แต่ก็ออกมาสุดขีดคลั่งไปเลยนอกจากฉากแอคชั่นอันเป็นเอกลักษณ์แล้ว หนังเรื่องนี้ยังแฝงไปด้วยปรัชญาที่นุ่มลึกในหลายฉาก เติมเต็มจักรวาลนักฆ่าให้มีความน่าสนใจไปยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับการจัดฉาก การจัดแสงที่ทำให้แทบทุกฉากสามารถแคปไปเป็นวอลล์เปเปอร์ได้เลย นี่ไม่ใช่แค่หนังสนุกแล้ว แต่ยังเป็นหนังที่สวยงามในหลายองค์ประกอบด้วยที่สำคัญ ไม่ใช่แค่ตัว Keanu Reeves ที่โดดเด่นเท่านั้น แต่ตัวละครอื่น ๆ ก็แย่งซีนไม่แพ้กัน ที่ต้องชื่นชมคือบทของ Donnie Yen (Caine) และ Shamier Anderson (Tracker) ที่เทียบชั้นกับ John Wick ได้สบาย ๆ ทำไมต้องเท่ขนาดนี้!นอกจากนี้ เรายังได้ดูหนังเรื่องนี้ในระบบ IMAX คือเต็มตาทั้งงานภาพและเสียง สนั่นหวั่นไหว ดึงความระทึกให้ไปสุดกว่าที่คิดไว้มากเพิ่มเติมเล็กน้อย หนังมีฉากท้ายเครดิต 1 ตัวครับ โดยหนังมีความยาว 2 ชั่วโมง 49 นาทีคะแนนภาพยนตร์เรื่องนี้ 10/10 และนี่คือหนังเรื่องที่ 2 ที่ได้คะแนน 10/10 จากเพจของเราครับ!
⭐ Sam Movieman ผู้ชายบ้าดูหนัง
🤩 คะแนน: 9/10 ดาว
จอห์น วิค กลับมาแล้ว สำหรับเพจที่ไม่ได้ปลื้มหนังแฟรนไชส์นี้ใน 2 ภาคแรกแล้วเริ่มมาติดใจในภาค 3 ย่อมมีความหวั่นใจว่าภาค 4 จะทำให้ความรู้สึกกลับไปเหมือนเมื่อก่อนหรือยังคงรักษาระดับความชอบไว้ได้ ปรากฏว่าไม่เสียแรงที่รอเพราะมีฉากเด็ดสมการรอคอยจริง แต่ไม่ได้เกินที่คาดหวังจอห์นยังคงถูกตามไล่ล่า และใครก็ตามที่ยื่นมามือช่วยก็มักต้องรับกรรม ศัตรูตัวฉกาจในภาคนี้คือเคน (ดอนนี เยน) ซึ่งเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน งานนี้แกจะเอาตัวรอดได้หรือไม่ อย่างไร3 ชอบ 1 เฉย 1 ไม่ชอบฉากแอ๊คชั่น หนังจากทีมงานนี้ ทั้งในตระกูลจอห์น วิค และ Extraction ยกระดับความสร้างสรรค์ให้แก่ฉากต่อสู้ของหนังอย่างมากมาย อย่างที่รีวิวภาค 1-2 ไว้ว่าไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับฉากบู๊เพราะเน้นยิงปืนกันเป็นหลัก แต่เริ่มจากภาค 3 และ Extraction ทั้ง 2 ภาค คิวบู๊ก็เริ่มแน่น มีมุกใหม่ๆ และใจถึงถ่ายกันยาวๆ จนได้ความสมจริงชนิดหนังค่ายอื่นไม่ค่อยกล้าทำ จะมีที่เหนือกว่าก็ตระกูล Mission Impossible ที่ได้ความบ้าดีเดือดของทอม ครู๊ซที่แหละที่ยังรักษาบัลลังค์ไว้ได้ เรื่องนี้มีฉากที่สุดยอดอยู่ 2 ตอน คือการต่อสู้ที่วงเวียน Arc de Triomphe หรือประตูชัยที่กรุงปารีส ท่ามกลางรถที่พากันวิ่งไม่หยุดยั้ง ลุ้นทั้งตัวผู้ร้ายและตัวรถที่ถาโถมกันเข้ามา แต่จอห์นก็ฉลาดมาก (เช่นเคย) ที่พลิกอุปสรรคเป็นโอกาสโดยใช้รถเหล่านั้นเป็นตัวช่วย อีกฉากคือการยิงกันในอาคารโดยที่มุมกล้องส่องจากด้านบนแบบยาวๆ
เราเห็นพระเอกไล่ยิงจากห้องนึงไปอีกห้องนึงแบบแทบไม่มีการตัด ได้ทั้งความครีเอทีฟ ความปราณีต และสมจริง (อารมณ์เล่นเกม) ฉากต่อสู้ในช่วงท้ายบนขั้นบันไดก็สนุก แต่ยังเป็นรอง 2 ฉากไฮไลท์นี้ ส่วนฉากบู๊อื่นๆ ก่อนหน้านี้ค่อนข้างจะพื้นๆ แบบที่เคยดูกันมาแล้วจากภาคก่อนๆถ่ายภาพ ความสวยงามด้านภาพเห็นชัดมาตั้งแต่ภาคก่อน และด้วยการย้อมสีที่เข้ากับสมัยนิยมคือความมืดที่ออกไปทางสีเขียวๆ ฉากตอนท้ายพระอาทิตย์ขึ้นที่ Sacré-Cœur คือสวยมากดอนนี เยน แม้จะไม่ค่อนน่าเชื่อว่าคนตาบอดจะทำได้ขนาดนี้ แต่แกก็พยายามที่จะแสดงออกในหลายตอนว่ามองไม่เห็น และแน่นอนว่าการต่อสู้ของแก แม้จะไม่มาก เพื่อจะได้ไม่ขโมยซีนพระเอก ก็ทำได้อย่างสวยงาม แบบคนเป็นมวยจริง ไม่ใช่แบบฝึกมาอย่างดีแบบคีอานู อย่างเช่นตอนที่จอห์น วิค ใช้กระบอง 3 ท่อน (แบบที่บรู๊ซ ลี ใช้) แม้แกจะทำได้อย่างแม่นยำ แต่ก็ยังพอเห็นความเกร็งๆ ไม่พริ้วแบบคนที่ชำนาญจริง ความโม้ เหมือนกันทุกภาคคือความโม้ที่พระเอก ไม่ว่าจะโดนถล่มขนาดไหน ตกจากที่สูงก็แล้ว มีดบาดก็แล้ว ก็สามารถลุกขึ้นมาบู๊ได้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นบท แม้จะไม่ใช่จุดขายอยู่แล้วสำหรับหนังแนวนี้ หนังมีความยืดยาว และมักง่าย เนื่องจากค่าตัวจอห์น วิค พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่มีใครจัดการเขาได้ ก็มีทั้งมือปืนที่เสนอตัวมาล่ารางวัล รวมถึงดอนนี เยน ที่ได้รับมอบหมายให้จัดการพระเอก แต่ 2 คนนี้ก็มัวแต่คอยช่วยพระเอกให้รอดด้วยการจัดการสมุนของผู้ร้าย เพื่อตัวเองจะได้เป็นผู้ลงมือเอง พระเอกก็เลยรอดแบบฟลุ๊คๆ มาตลอด ส่วนตอนจบของหนังค่อยเรียกอารมณ์ร่วมได้บ้าง แต่มันก็เป็นมุกที่หนังภาคต่อมักจะหยิบมาใช้ไม่ภาคใดก็ภาคหนึ่ง