ดูหนัง Indiana Jones and the Dial of Destiny (2023) อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา
เมื่อพบว่าตัวเองอยู่ในยุคใหม่ ใกล้เกษียณ อินดี้ต้องต่อสู้กับการปรับตัวให้เข้ากับโลกที่ดูเหมือนจะโตเกินตัวเขา แต่เมื่อหนวดของความชั่วร้ายที่คุ้นเคยกลับมาในรูปของคู่แข่งเก่า อินดี้ต้องสวมหมวกและหยิบแส้อีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าวัตถุโบราณที่ทรงพลังจะไม่ตกไปอยู่ในมือคนผิด
อ่านบทความ ดูหนัง Indiana Jones 1 and the Raiders of the Lost Ark ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 1
อ่านบทความ ดูหนัง Indiana Jones 2 and the Temple of Doom ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 2 ถล่มวิหารเจ้าแม่กาลี
อ่านบทความ ดูหนัง Indiana Jones and the Last Crusade ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 3 ศึกอภินิหารครูเสด
อ่านบทความ ดูหนัง Indiana Jones 4 and the Kingdom of the Crystal Skull ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 4 อาณาจักรกะโหลกแก้ว
อ่านบทความ ดูหนัง Timeless Heroes Indiana Jones and Harrison Ford (2023)
อ่านบทความ ดูหนัง The Unofficial Science of Indiana Jones
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดง
Harrison Ford แฮร์ริสัน ฟอร์ด

ฟีบี วอลเลอร์-บริดจ์

แมดส์ มิคเคลเซน

ผู้กำกับ : เจมส์ แมนโกลด์
รีวิว Indiana Jones and the Dial of Destiny (2023) อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา
entertainment
ที่นับว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งในรอบทศวรรษของบุรุษนักผจญภัยในตำนาน ที่ครั้งนี้เหมือนจะกลับมาเพื่อสานต่อให้ถึงปลายทาง และอาจจะถึงเวลาที่เขาต้องโบกมือลาหน้าที่ ด้วยคำถามที่ว่า “อยู่เพื่อใคร..?” กลายมาเป็นเดินทางครั้งใหม่ของชายผู้มีแส่เคียงกาย เต็มหอมหวนไปด้วยบรรยากาศเก่า ๆ แม้ว่ากลิ่นอายมันจะเริ่มจางลง ๆ บ้างแล้วก็ตาม
เล่าเรื่องราวของ อินดี้ ที่พบว่าตัวเองอยู่ในยุคใหม่และกำลังอยู่ในเส้นทางสู่การเกษียณ เขาต้องพยายามหาทางปรับตัวเข้าสู่โลกที่ใหญ่เกินกว่าเขาไปแล้ว แต่เมื่อปีศาจตนเดิมกลับมาในรูปแบบของตัวคู่ปรับเก่า อินดี้ จึงต้องกลับมาสวมหมวกและฟาดแส้ของเขาอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าวัตถุโบราณอันทรงพลังจะไม่ได้ตกอยู่ในมือของคนชั่ว
สำหรับในหนังภาคนี้ “สตีเวน สปีลเบิร์ก” ผู้ที่ริเริ่มสร้างตำนานมาตั้งแต่ต้น ไม่ได้กลับมารับหน้าที่นั่งอยู่หลังเลนส์กล้องอีกเหมือนเคย (แต่ไปเป็นผู้อำนวยการสร้างแทน) ได้ทำการส่งไม้ต่อมาให้ผู้กำกับยอดฝีมือประจำรุ่นปัจจุบันอีกคน อย่าง “เจมส์ แมนโกลด์” มาวาดลวดลายและบรรเลงการผจญภัยครั้งใหม่ออกมาได้อย่างมีแนวทางใหม่ ๆ ที่หวังจะสร้างความต่างให้กับแฟรนไชส์หนังชุดนี้
beartai
ตัวหนังจะเล่าเรื่องใน 2 ช่วงเวลา ช่วงแรกเกิดขึ้นในปี 1944 ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 อินเดียนา โจนส์ (แฮร์ริสัน ฟอร์ด – Harrison Ford) ในวัยหนุ่มแน่น (ด้วยงาน De-Aged ลดอายุ แล้วเอาไป Deepfake แปะหน้าตัวแสดงแทน) ต้องเข้าไปช่วยเพื่อนนักโบราณคดี เบซิล ชอว์ (โทบี โจนส์ – Toby Jones) ที่เทือกเขาแอลป์ ฝรั่งเศส และช่วงชิงเอา ทวนแห่งลองกินุส (Lance of Longinus) ที่เคยอาบพระโลหิตของพระเยซูคริสต์จากกองทัพนาซีมาให้ได้ แต่ในระหว่างนั้น ทั้งอินดี้และเบซิลได้ค้นพบว่า นาซียังมีวัตถุโบราณที่เจ๋งกว่านั้นคือ กลไกแอนติไคเธอรา (Antikythera Mechanism) คิดค้นโดย อาร์คีมีดีส (Archimedes) ที่ เยอร์เกน วอลเลอร์ (แมดส์ มิคเคลเซน – Mads Mikkelsen) นักโบราณคดีของกองทัพนาซีครอบครองอยู่ เพราะเชื่อว่ากลไกนี้สามารถคำนวณหารอยแยกของกาลเวลา ที่สามารถพาผู้ครอบครองย้อนเวลากลับไปยังอดีตได้
อีก 25 ปีต่อมา อินดี้กลายเป็นอาจารย์ด้านโบราณคดีวัยเกษียณที่งุ่มง่าม วางมือจากการผจญภัยไปแล้ว แถมยังเป็นคนแก่เชยสะบัดเบื่อโลกที่กำลังกลุ้ม ทั้งการหย่าร้างกับภรรยา แมเรียน เรเวนวูด (แคเรน อัลเลน – Karen Allen) เพราะเสียลูกชาย (มัตต์ วิลเลียม จากภาค 3) ในสงคราม และการที่สหรัฐอเมริกากำลังเห่อการปล่อยจรวดสู่ดวงจันทร์ วันหนึ่ง อินดี้ก็ได้พบกับ เฮเลนา ชอว์ (ฟีบี วอลเลอร์-บริดจ์ – Phoebe Waller-Bridge) ลูกสาวของเบซิลที่อินดี้รับเป็นพ่อทูนหัวตั้งแต่อ้อนแต่ออก และได้รู้ว่าเธอเองก็สนใจและต้องการจะตามล่ากลไกนี้ด้วยเช่นกัน เธอจึงได้ชวนอินดี้ลากสังขารออกไปผจญภัยไขปริศนาเกี่ยวกับกลไกนี้ และได้พบเจอกับน้อง เท็ดดี คูมาร์ (อีธาน อีสิดอร์ – Ethann Isidore) เด็กชายคนสนิทของเฮเลนาที่ออกติดตามแบบบังเอิญ เพื่อยับยั้งไม่ให้เยอร์เกนใช้กลไกนี้ย้อนเวลากลับไปเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของนาซีในอดีต