ดูหนัง Bullet Train (2022) ระห่ำด่วน ขบวนนักฆ่า เลดี้บั๊ก นักฆ่าพาซวย โชคชะตามักจะมีอะไรเซอร์ไพรส์เสมอ กับภารกิจครั้งสำคัญที่ทำให้เขาต้องปะทะกับนักฆ่าจากทั่วโลก ทุกคนต่างมีเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกันแต่ก็ต้องต่อกรกันอย่างเลี่ยงไม่ได้บนรถไฟที่เร็วที่สุด…เขาจะลงจากขบวนรถไฟได้อย่างไร ปลายทางสุดโกลาหล เป็นจุดเริ่มต้นความระห่ำ
อ่านรีวิวก่อน ดูหนังนักแสดง
Brad Pitt
Joey King
Aaron Taylor-Johnson
Brian Tyree Henry
ผู้กำกับ
David Leitch
รีวิวหนัง Bullet Train ดูหนัง
เรื่องนี้ตอนเข้าฉายโรงผมก็ไม่ได้ดูเหมือนเดิม แต่มาได้ดูตอนลง Streaming นี่แหละ ด้วยแค่แรงดึงดูดของนักแสดงแต่ละคนไม่ว่าจะเป็น Brad Pitt, Joey King, Aaron Taylor-Johnson, Hiroyuki Sanada, Michael Shannon และดารานักบู๊สุดเท่จากซีรี่ส์ Warrior ที่ผมชอบมากคือ Andrew Koji แค่ชื่อดาราก็น่าดูแล้ว เรื่องอื่นช่างมันก่อนแล้วกัน คิดว่าน่าจะต้องมันส์แน่ๆ
เรื่องเล่าถึง เลดี้บั๊ก นักฆ่าพาซวย ที่โชคชะตามักจะมีอะไรเซอร์ไพรส์เสมอ กับภารกิจครั้งสำคัญที่ทำให้เขาต้องปะทะกับนักฆ่าจากทั่วโลก ทุกคนต่างมีเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกันแต่ก็ต้องต่อกรกันอย่างเลี่ยงไม่ได้บนรถไฟที่เร็วที่สุด…เขาจะลงจากขบวนรถไฟได้อย่างไร ปลายทางสุดโกลาหล เป็นจุดเริ่มต้นความระห่ำ
หนังช่วงแรกสำหรับผม คิดว่าคือจุดบอดจุดใหญ่ของหนังเลยล่ะ เพราะหนังเล่นกับบทพูดที่ค่อนข้างเยอะและไดอะล็อกยาวก่อนที่จะเข้าเรื่องจริงจัง ซึ่งถ้ามันสามารถรวบรัดได้กระชับกว่านี้อาจจะดี หนังพยายามตัดสลับไปมา บวกกับหยอดมุขโบ๊ะบ๊ะไปมา จนกระทั่งหนังเริ่มตั้งตัวได้ ก็ถึงจะไหลลื่นและสนุกขึ้นเรื่อยๆ จนถึงตอนท้าย
จุดเด่นของหนังเรื่องนี้ ต้องยกให้ฉากแอ็คชั่นที่ทำออกมาได้ดีมากๆ แทบจะทั้งเรื่องเป็นการต่อสู้บนรถไฟในพื้นที่แคบๆ ซึ่งผู้กำกับสามารถจัดการกับฉากเหล่านี้ได้อย่างสุดยอด และดูสนุกมากๆ รวมไปถึงนักแสดงชื่อดังเยอะแยะมากมาย ที่มารวมตัวกันแบบจัดเต็ม ซึ่งหนังก็กระจายความสำคัญของแต่ละบทบาทได้ดีเยี่ยม ไม่ใช่เน้นแค่ Brad Pitt ที่เป็นบอร์ใหญ่สุดของตัวหนัง แต่บทก็ไม่ได้พุ่งไปที่เขาคนเดียว เพราะบทหนังกระจายไปให้ทุกตัวละครในเรื่องเลยด้วยซ้ำ และแต่ละตัวละครก็มีความสำคัญต่อเส้นเรื่องไม่แพ้กัน
หนังไปเกือบสุดทางในส่วนของฉากแอ็คชั่นและการเดินเรื่องที่สนุกอย่างต่อเนื่องและน่าติดตาม เพียงแต่ว่าเนื้อหาหนังยังไม่ค่อยมีลูกเล่นอะไรมากมาย ถึงจะมีจุดหักมุมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับว๊าวอะไร หนังอาจจะยาวไปนิด แต่ก็ถือว่าดูได้เพลินตลอดหลังจากช่วงแรกที่ผมบอกไปว่ามันคุยกันเยอะไปนิดครับ
beartai
‘Bullet Train’ หรือในชื่อไทย ‘ระห่ำด่วน ขบวนนักฆ่า’ หนังแนวแอ็กชันคอมมีดี้สีสันจัดจ้านเรื่องล่าสุดของ โซนี่ พิกเจอร์ส (Sony Pictures) และ โคลัมเบีย พิกเจอร์ส (Columbia Pictures) ที่คราวนี้เลือกหยิบเอาความเป็นมาตุภูมิ บ้านเกิดเมืองนอนของโซนี่อย่างประเทศญี่ปุ่นมาเล่าในรูปแบบของหนังคอมมีดี้แอ็กชัน โดยเฉพาะการหยิบเอาเรื่องราวจากหนังสือนิยายแนวอาชญากรรมขายดีของญี่ปุ่น ที่มีศูนย์กลางของเรื่องก็คือรถไฟหัวกระสุน หรือรถไฟ ‘ชิงกังเซน’ ชื่อกระฉ่อนที่คนทั้งโลกรู้จักกันดีนั่นเอง
แซ็ก โอลเกวิคซ์ (Zak Olkewicz) ผู้เขียนบทหนังเรื่องนี้ ดัดแปลงบทมาจากเรื่องราวในหนังสือนิยายแนวแอ็กชันของญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า ‘Maria Beetle’ (2010) ผลงานของ อิซากะ โคทาโร (Kotaro Isaka) ซึ่งเรื่องดั้งเดิมเป็นการเล่าเรื่องการดวลกันของนักฆ่าบนรถไฟชิงกังเซน ซึ่งถ้าใครถ้าอยากหามาอ่านก่อนดูหนัง ก็สามารถติดต่อสำนักพิมพ์กำมะหยี่ ถามหาหนังสือเล่มนี้ฉบับแปลไทยในชื่อว่า ‘รถไฟสายนักฆ่า’ หนังสือลำดับที่ 2 ในชุด ‘ไตรภาคนักฆ่า’ จากผู้เขียนคนเดียวกันได้เลยนะครับ
หนังเรื่องนี้ได้ผู้กำกับสายแอ็กชันอย่าง เดวิด ลิตช์ (David Leitch) มากำกับให้ครับ ที่บอกว่าสายแอ็กชันก็เพราะว่างานของเขานี่เด่นไปทางหนังแอ็กชันระดับบล็อกบัสเตอร์ทั้งนั้นเลย ตั้งแต่ ‘John Wick’ (2014) (กำกับร่วมกับ แชด สตาเฮลสกี (Chad Stahelski)) ‘Atomic Blonde’ (2017), ‘Deadpool 2’ (2018) และ ‘Fast & Furious: Hobbs & Shaw’ (2019)
และไม่รู้ว่าบังเอิญหรือตั้งใจ เพราะนักแสดงนำอย่าง แบรด พิตต์ (Brad Pitt) และ แซนดรา บุลล็อก (Sandra Bullock) ที่เคยเจอกันไปแล้วในหนัง ‘The Lost City’ (2022) ก็วกกลับมาเจอกันอีกครั้งในหนังเรื่องนี้ด้วยนะครับ คราวที่แล้ว พิตต์ไปรับเชิญให้หนังของบุลล็อก ครั้งนี้บุลล็อกก็เลยมารับเชิญให้หนังของพิตต์บ้าง ซึ่งจริง ๆ แล้วแต่เดิมบทนี้เป็นของ เลดี กาก้า (Lady Gaga) แต่เสียดายที่ตารางงานเจ๊แกไปชนกับ ‘House of Gucci’ (2021) ซะก่อน
เรื่องราวย่อ ๆ ของหนังเรื่องนี้ ว่าด้วยเรื่องราวของนักฆ่าหนุ่มนาม ‘เลดี้บัก’ (Brad Pitt) (ชื่อน่ารักมุ้งมิ้งเชียว (555) เลดี้บักเป็นนักฆ่าประสบการณ์โชกโชน แต่มักจะพบกับจังหวะชีวิตเฮงซวย เจอเรื่องดวงกุดอยู่บ่อย ๆ ก็เลยอยากจะพักงาน สงบจิตใจ เดินเที่ยวเมืองญี่ปุ่นบ้างอะไรบ้าง แต่แล้วเขาเองก็ต้องจำใจรับภารกิจจาก ‘มาเรีย บีเทิล’ (Sandra Bullock) ให้ไปฉกกระเป๋าปริศนาใบหนึ่งบนรถไฟหัวกระสุนชิงกังเซน
แต่แทนที่จะฉกแล้วชิ่งออกมาง่าย ๆ กลายเป็นว่า เขากลับต้องติดอยู่ในขบวนรถไฟชิงกังเซนความเร็วสูงสุด 600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่มีจังหวะหยุดพักสั้นมาก แถมยังหยุดพักครั้งละไม่ถึงนาที แถมเขาเองยังก็ต้องพบว่า ขบวนรถด่วนคันนี้ไม่ได้แค่เร็วธรรมดา ๆ แต่ยังเร็วทะลุนรก เพราะเต็มไปด้วยนักฆ่าคาแรกเตอร์แปลก ๆ ทั้ง ‘แทนเจอรีน’ (Aaron Taylor-Johnson) และ ‘เลมอน’ (Brian Tyree Henry) นักฆ่าฝาแฝดผลไม้ (ฝาแฝดโลกไหนว้า)
‘วูลฟ์’ (Bad Bunny) มือมีดเม็กซิกันสุดเข้ม ‘พรินซ์’ (Joey King) เจ้าชายนักฆ่าในร่างเด็กหญิง (?) ‘คิมุระ’ (Andrew Koji) นักฆ่าผู้ต้องการล้างแค้น ‘ผู้เฒ่า’ (Hiroyuki Sanada) ลุงดาบซามูไร (ชิเหน๋…) ‘ไวต์เดธ’ (Michael Shannon) ยากูซ่าสมญามัจจุราชขาว และน้อน ‘โมโมมอน’ (Momomon) นักฆ่าในคราบมาสคอต (!) แม้พวกเขาจะมีจุดประสงค์ และความแค้นแตกต่างกัน แต่พวกเขาต่างก็มีเป้าหมายและจุดหมายปลายทางเดียวกันอย่างน่าบังเอิญ ทำให้พวกเขาต้องมาตามไล่ล่าฆ่ากันบนรถไฟสายนรกสายนี้
สิ่งแรกที่สัมผัสได้ตอนดูหนังเรื่องนี้ก็คือ ตัวหนังไม่ได้พยายามจะบังคับเราให้เป็นหนังแอ็กชันเครียด ๆ ในสถานการณ์ปิดตายที่หนีลำบากอะไรขนาดนั้นนะครับ แต่ตัวหนังพยายามจะเป็นหนังแอ็กชันคอมมีดี้ที่ซัดกันด้วยพล็อตที่ค่อนข้างซับซ้อน จังหวะการเล่าเรื่องแบบเอามัน เอาเบียว เอาเพี้ยนเข้าว่า และฉากแอ็กชันถึงเลือดถึงเนื้อ รุ่มรวยคำหยาบคายสไตล์เรตอาร์ และมุกตลกที่ขนมาทุกเรตทั้งมุกน่ารัก มุกหยาบคาย และแน่นอนว่าต้องมีมุกจิกแซะวัฒนธรรมญี่ปุ่น (ซึ่งบางมุกนี่ก็แอบเชยสะบัดอยู่เหมือนกัน)
ตัวหนังในองก์แรก เอาจริง ๆ ถือว่าย่อยไม่ง่ายนะครับ ถ้าเทียบกันหนังแอ็กชันทั่ว ๆ ไป เพราะตัวหนังนั้นแทบจะมีจังหวะการเล่าเรื่องเป็นของตัวเอง และเป็นการเล่าที่เหลือร้ายมาก เพราะเป็นการเล่าแบบไม่แคร์อะไรใด ๆ อยากเล่าอันไหนก็เล่า อันไหนไม่ถึงเวลาก็ยังไม่เล่า ก็เลยทำให้ตัวหนังเล่าเรื่องอย่างกระชับ พาคนดูค่อยแกะปมคลายประเด็น เชื่อมโยงเรื่องราวและความสัมพันธ์ของตัวละครให้คนดูค่อย ๆ เข้าใจไปทีละน้อย ในขณะที่ตัวหนังก็ทิ้งปมเอาไว้ให้สงสัยกันไปก่อน จนกว่าหนังจะกลับมาเฉลยปมนั้นอีกครั้ง ตรงไหนที่สงสัยหนังก็ตามมาเก็บกลับเกือบหมด ซึ่งนั่นก็เรียกร้องพลังการตั้งใจดูอยู่มากเหมือนกัน ถ้าเผลอหลับป๊อกไปสักนาทีนี่คือตกขบวนแน่นอน
sanook
หนังแอ็คชั่นสุดเดือด ผลงานการกำกับของ เดวิด ลิทช์ ผู้กำกับ Deadpool 2 บอกเล่าเรื่องราวของเหล่านักฆ่าที่บังเอิญมาขึ้นรถไฟขบวนเดียวกัน จนเกิดการต่อสู้แบบวายป่วงตลอดเส้นทาง โดยหนังสร้างขึ้นจากหนังสือของ โคทาโร อิซากะหนึ่งในนักเขียนเรื่องลึกลับที่โด่งดังและได้รับความนิยมสูงสุดของญี่ปุ่น
เลดี้บั๊กนักฆ่าดวงซวย (แบรด พิตต์) ชายผู้ตั้งใจจะทำงานของตัวเองให้สำเร็จลุล่วง อย่างมีความสุข โดยหลังจากงานของตัวเองเกิดพังไม่เป็นท่ามาหลายครั้งหลายหน แต่ดูเหมือนโชคชะตามักจะเล่นตลกอยู่กับเขาเรื่อยๆ ภารกิจล่าสุดเลดี้บั๊กจึงต้องเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรูจากทั่วทุกมุมโลก พวกเขามีจุดมุ่งหมายที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันอย่างน่าประหลาด โดยพวกเขาต้องมาอยู่ในขบวนรถไฟที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก ซึ่งจะแวะหยุดจอดแต่ละสถานีเพียงเวลา 1 นาทีเท่านั้น ตกลงแล้วใครจะเหลือรอดเป็นคนสุดท้าย แล้วภารกิจของนักฆ่าแต่ละคนคืออะไรกันแน่
ความสนุกของหนังเรื่องนี้คือการรวมเอาบรรดา “นักฆ่า” ที่ (เหมือนจะ) บังเอิญมาอยู่บนรถไฟขบวนเดียวกัน โดยระหว่างทางนั้นเราจะได้เห็นว่า จุดมุ่งหมายของนักฆ่าแต่ละคนนั้นล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายเป็นของตัวเอง ซึ่งความบันเทิงของ Bullet Train คืออารมณ์ขันแบบทีเล่นทีจริงของตัวละคร แถมหลายๆครั้งออกแนวๆเพี้ยนจนทำให้เรารู้สึกได้เลยด้วยซ้ำไปว่าตัวหนังเองพยายามแซะวัฒนธรรมคาแรกเตอร์ตัวละครมังงะของญี่ปุ่นที่มักจะมีความเกินเบอร์อยู่ในตัวเองเสมอๆ ระหว่างทางฉากแอ็คชั่นที่ถูกใส่เข้ามาก็เรียกได้ว่า ถูกจังหวะ สนุกตื่นเต้น ดูเพลิน
วิธีการเล่าของเรื่องถูกแยกย่อยเป็นช่วงแนะนำตัวละครให้คนดูได้รู้จัก พร้อมกับให้คนดูเริ่มตั้งข้อสงสัยว่า นักฆ่าแต่ละคนนั้นมีภารกิจอะไรกันแน่ แล้วตกลงแล้วความเกี่ยวพันกันทางอ้อมที่ทำให้ทุกคนขึ้นมาอยู่บนโบกี้รถไฟขบวนนี้จริงๆแล้วคืออะไรกันแน่ ซึ่งตัวละครเหล่านี้ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวน่าจดจำ ไม่ได้จมหายไปจากเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น แทนเจอรีน (แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน) และ เลมอน (ไบรอัน ไทรี เฮนรี) นักฆ่าฝาแฝดผลไม้ วูลฟ์ (แบดบันนี่) นักฆ่าชาวเม็กซิกันที่เขามีความแค้นฝังใจหลังจากที่เมียของเขาถูกฆ่ากลางงานแต่ง พรินซ์ (โจอี้ คิง) นักฆ่าในร่างเด็กหญิง คิมุระ (แอนดรูว์ โคจิ) นักฆ่าชาวญี่ปุ่นที่ลูกชายของเขาอยู่นอนอยู่ในโรงพยาบาลรักษาอาการโคม่า โดยคิมุระเป็นลูกชายของ ‘ผู้เฒ่า’ (ฮิโรยูกิ ซานาดะ) นักฆ่าในตำนานอีกที
คงต้องบอกว่า Bullet Train เป็นหนังขายความสนุก ความบันเทิงแบบบ้าคลั่งเต็มสูบ ที่เรียกได้ว่าโยนตรรกะทุกอย่างทิ้งแล้วเข้าไปเอนจอยกับความเพี้ยนในเรื่องได้ดีทีเดียวเชียว