รีวิว Bad Boys Ride or Die (2024) คู่หูขวางนรก ลุยต่อให้โลกจำ
badboy entertainment
ถ้าจะมีหนังภาคต่อสักเรื่องที่เหมือนผู้เขียนได้ก้าวพ้นวัยหรือผ่านเวลามาด้วยกันรวมไปถึงพรรษาและวุฒิภาวะทางการดูหนังที่เพิ่มมากขึ้นอาจมี Bad Boys (1995) เป็นหนึ่งในนั้น เพราะนี่คือหนังที่นักแสดงนำเป็นนักแสดงผิวดำทั้งคู่และชื่ออาจไม่คุ้นหูนักเพราะยุค 90 ก็รู้ๆกันว่าถ้าเป็นหนังแอ็กชันชื่อดาราที่ขายได้มีใครบ้าง แต่หนังตำรวจคู่หูที่เหมือนเป็นการเปิดตัวเจ้าพ่อระเบิดลูกโต Michael Bay
กลายเป็นความสนุกที่คาดไม่ถึงเพราะเวลานั้นหนังทุนสร้างแค่ 19 ล้านเหรียญเรื่องนี้ทำเงินไปถึง 65.8 ล้านเหรียญในอเมริกาเรียกได้ว่าหักปากกาเซียนกันระนาว และชื่อของ Michael Bay,Will Smith และ Martin Lawrence ก็ติดหูคนดูตั้งแต่นั้นมา หลังจากนั้นก็มีงานภาคต่อออกมาอีสองภาคที่ภาคสองเล่นใหญ่ขึ้นแต่เหมือนกับไม่เข้ารูปเข้ารอยเท่าไหร่นักจนมาเริ่มกลับเข้าที่เข้าทางในภาคสาม จนวันนี้การลงสตรีมของภาคสี่ของ ก็มาถึงและไม่มีทางเลยที่ผู้เขียนที่ดูมาตั้งแต่ภาคแรกซ้ำๆหลายๆรอบจะไม่หาเวลาดู
เมื่อคู่หูตำรวจไมอามี่ Mike Lowrey (Will Smith) และ Marcus Burnett (Martin Lawrence) ได้ผ่านอะไรมาร่วมกันแม้กระทั่งเกือบไปพบยมบาลก็เคยมาแล้วคราวนี้ก็ถึงคราวที่ Mike จะเข้าพิธีวิวาห์ แต่ว่าเมื่อกำลังสนุกสนาน Marcus ดันหัวใจวายคล้ายจะไปพบยมบาลบ้างแต่ก็รอดมาเพื่อมาพบว่าชื่อของผู้กอง Howard (Joe Pantoliano)
ที่สองคู่หูรักและเคารพถูกป้ายสีให้เป็นตำรวจชั่วที่พัวพันกับพวกค้ายา Mike กับ Marcus จึงต้องการเคลียร์ชื่อด้วยการสืบหาคนที่อยู่เบื้องหลังที่เมื่อเป็นเรื่องของแก๊งค้ายาก็ต้องไปถามพ่อค้ายาคือ Armando Aretas (Jacob Scipio) ลูกชายของ Mike ที่อยู่ในคุก แต่แล้วเมื่อพวกคนร้ายได้ข่าวว่า Mike กับ Marcus กำลังเข้าใกล้พวกมันจึงป้ายสี เข้าให้แถมยังไม่พอยังตั้งค่าหัวไว้ในโลกไต้ดินทำให้ Mike กับ Marcus และ Armando ต้องเจอตามล่าทั้งจากสองทาง แล้วพวกเขาจะเคลียร์ตัวเองและผู้กองได้ยังไงจะสามารถเปิดโปงและล่าล้างบางพวกชั่วได้หรือไม่กันนะ
นี่คือหนัง Bad Boys ก็ต้องเล่าเรื่องแบบ Bad Boys ที่เห็นเป็นเอกลักษณ์แม้จะเคยๆแต่ของเก่ามันเก๋ากว่า เอาจริงคือเส้นเรื่องไม่ต่างกันเลยโครงเรื่องแทบจะยกพิมพ์เขียวมาใส่ไม่ต้องเล่นท่ายากมากความอะไรคือมีภารกิจให้ตามแก้เพื่อไปสู้กับคนร้ายในตอนสุดท้ายที่ต้องมีตัวประกันด้วยนะ แต่เมื่อนี่คือหนัง Bad Boys ก็ต้องเล่าแบบหนัง Bad Boys ที่ทำแบบนี้มาทุกภาคจนกลายเป็นเอกลักษณ์พร้อมกับบทสนทนาคันๆกวนกันไปมา ซึ่งจะว่าไปในภาพรวมเมื่อโครงเรื่องเหมือนกับยกของภาคแรกเมื่อปี 1995 มาใส่ไว้ในหนังปี 2024 เอาจริงก็ดูเห็นเป็นความเก่าเก็บอยู่ในที แต่สิ่งที่ทำให้ในความเก่ายังขายได้เพราะมันมีความเก๋ากับมุขตลกที่คุ้นเคยเมือการต่อปากต่อคำกันกลายเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้เพราะไม่ว่ายังไงนี่ก็คือหนัง Bad Boys แล้วเมื่อมาเล่นกับมุขตลกสังขารของคนที่วัยก็ปาเข้าไปปูนนี้แล้วต้องมาลากสังขารบู๊ลืมตายจึงทำให้หนังดูไหลลื่น เพราะสิ่งที่เห็นมันเนียนตาในการเล่าเรื่องที่แม้ว่าจะไม่ได้ดูภาคเก่าๆมาก็ยังสนุก
คงคอนเซปต์มันส์และฮาให้โลกจำเอาใจแฟนรุ่นเก่าพร้อมกับโอบกอดแฟนรุ่นใหม่เพราะในความเก๋ามีความร่วมสมัย เมื่อนี่คือหนังที่ตัวละครได้เดินทางมาตั้งแต่วัยหนุ่มฉกรรจ์มาจนวันนี้ที่ย้วยกันไปข้างแล้วแต่สิ่งที่ยังทำได้ดีคือการมาพร้อมกันของความฮาและความมันส์ แม้ว่าอย่างที่บอกคือโครงเรื่องเหมือนเก่าแต่เก๋าที่ทำให้หนังออกมาสนุกเพราะพื้นฐานการเล่าเรื่องร่วมสมัย ทั้งยังได้ฉากแอ็กชันที่ถึงยังไงก็ยังอดคิดถึงหนังภาคแรกไม่ได้ที่มีมิติทางความบันเทิงที่สมบูรณ์และระเบิดลูกโตที่ถ้าไม่ดูชื่อผู้กำกับก่อนก็เผลอคิดไปเหมือนกันว่า Michael Bay มาเองซึ่งจริงๆก็มานะถ้าสังเกต หนังยังมาพร้อมชิ้นส่วนทางความทรงจำที่มาเพื่อให้แฟนรุ่นเก่าได้รำลึกถึงเช่นฉากเก่าๆที่สองคู่หูลุกขึ้นยืนกลางถนนแล้วคำบรรยายบอกว่า ที่ใส่มาในภาคนี้เพื่อเอาใจกันชัดๆแม้กระทั่งเพลงประกอบ แล้วในความร่วมสมัยทางเทคโนโลยีก็ไม่ยากที่จะโอบกอดแฟนรุ่นใหม่ให้สนุกไปกับหนังจนอาจมีบ้างที่จะไปหาภาคเก่าๆดู
beartai
Bad Boys’ ตำนานหนัง Buddy Cop สายตึงแห่งยุค 90s งานเปิด ประเดิมงานระเบิดเขาเผากระท่อมของป๋า ไมเคิล เบย์ (Michael Bay) และ 1 ในสุดยอดแฟรนไชส์ของโปรดิวเซอร์มือฉมัง เจอรี บรักไฮเมอร์ (Jerry Bruckheimer) กลับมาอีกครั้งกับภาคที่ 4 ‘Bad Boys: Ride or Die’ ครับ แม้ภาคนี้จะห่างจากภาคที่แล้ว ‘Bad Boys for Life’ (2020) ที่ทำรายได้อย่างงามตอนช่วงโรคระบาดไป 426 ล้านเหรียญไม่นาน แต่กว่าที่คู่หูจะได้ออกโรงกันอีกครั้ง ก็เรียกได้ว่าหืดจับพอควร