ดูหนัง Long Live Love (2023) ลอง ลีฟ เลิฟว์
เรื่องราวความรักพังพุของสติและเมตตา เมื่อทั้งคู่กำลังจะแยกทางจบปัญหาชีวิตคู่ที่เรื้อรังในวันเกิดลูกสาว โชคชะตาก็เล่นตลก สติประสบอุบัติเหตุตื่นขึ้นมาในสภาพไร้ความทรงจำโดยมีการถ่ายรูป Now& Then ที่สามารถนำเค้ากลับเข้าไปเหตุการณ์อดีตของรูปถ่ายใบนั้นได้ การรีสโตร์ภาพความทรงจำของครอบครัวผ่านการถ่ายรูปจึงเกิดขึ้น สติได้กลับไปเผชิญสิ่งที่เคยทำไว้กับเมตตาและนะโม ลูกสาววัยเฮี้ยวที่เกลียดเค้าเข้าไส้ ความวายป่วงจึงเริ่มขึ้นเพราะเมียและลูกของเค้าพร้อมที่จะหาจังหวะแก้แค้นเค้าตลอดเวลา มันไม่ใช่แค่สติคนใหม่ที่ต้องต่อสู้กับตัวตนคนเดิมในอดีต แต่พฤติกรรมของเค้าที่เปลี่ยนไปในปัจจุบันสั่นคลอน ความเกลียดชังของเมตตาและนะโมเช่นกัน สติจะทิ้งตัวตนมากอบกู้ความรักในครอบครัวได้หรือไม่ เมตตาจะเริ่มต้นใหม่กับคนเดิมอีกครั้งได้อย่างไร เมื่อการให้อภัยเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยทำมันตลอดชีวิตคู่
อ่านรีวิวก่อน ดูหนัง
นักแสดง
ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์
อารยา เอ ฮาร์เก็ต
รีเบคก้า แพทรีเซีย อาร์มสตรอง
ผู้กำกับ : ปิยะกานต์ บุตรประเสริฐ
รีวิว Long Live Love (2023) ลอง ลีฟ เลิฟว์
beartai
ส่วนที่โดดเด่นมากของบทภาพยนตร์ ‘ลอง ลีฟ เลิฟว์’ ไม่ใช่ความแปลกใหม่หรือพลอตเรื่องที่เดาไม่ได้ แต่เป็นดีเทลบางอย่างที่ มุก-ปิยกานต์ วางทิ้งไว้เป็นเบาะแสตลอดรายทางทั้งเรื่องราวหลังรูปถ่ายที่ถูกทำให้เป็นโมทีฟ (Motif) และเดินตามเหตุการณ์สำคัญที่จะเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของสติที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แม้ในช่วงต้นเราอาจจะเห็นแผลใหญ่ทั้งการเล่าเรื่องที่ยังกระท่อนกระแท่นไม่รู้จะโยนข้อมูลอะไรมาให้คนดูบ้าง หรือใช้เวลาเดเวลอปตัวละครที่มากเกินไปในเวลาชั่วโมงกว่า ๆ จนคนดูขาดโอกาสในการรู้จักเมตตากับสติในเชิงลึก
แต่พอหนังเริ่มเข้าฝักในช่วง 40 นาทีสุดท้าย มุก-ปิยกานต์ ก็ได้ฤกษ์วางระเบิดเวลาให้ผู้ชมเมื่อมันเข้าสู่โหมดดาร์ก การค่อย ๆ ถักทอเรื่องราวเลวทรามของสติที่เดินคู่ไปกับความโรแมนติกที่สติมีให้กับเมตตาก็ยิ่งทำให้หนังทวีความเข้มข้นและเดินทางสู่บทสรุปของมันได้อย่างรุนแรงและกระทบจิตใจของผู้ชมจนเชื่อว่าเมื่อเอนด์เครดิตขึ้นพร้อมเพลง “หลับตา” ของ นันทนา บุญหลง หลายคนคงเดินออกจากโรงภาพยนตร์พร้อมมวลบางอย่างจากหนังน่าจะติดอยู่ในหัวใจผู้ชมอย่างแน่นอน
แน่นอนว่านักแสดงที่รับบทหนักที่สุดคงหนีไม่พ้น ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ และ อารยา เอ ฮาร์เก็ต ที่มาถ่ายทอดเรื่องราวของสติกับเมตตา ตัวละครผัวเมียละเหี่ยใจแน่นอน แม้บทภาพยนตร์อาจจะมีช่องโหว่ในด้านการให้โอกาสมีปฏิสัมพันธ์ของทั้งคู่ในองก์แรกของหนัง แต่พอเรื่องราวมันถูกบอกเล่าไปจนถึงจุดที่เริ่มกดปุ่มนับถอยหลังของระเบิดเวลาทั้งซันนี่และชมพู่-อารยาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ส่วน รีเบคก้า แพตทิเซีย หรือน้องเบคกี้ดาวรุ่งจากซีรีส์ยูริอย่าง ‘ทฤษฎีสีชมพู’ ก็ได้มีโอกาสพิสูจน์ว่านอกจากหน้าตาแบบลูกรักพระเจ้าแล้ว เธอยังมีฝีมือและพร้อมพัฒนาไปเป็นนักแสดงคนสำคัญสำหรับวงการภาพยนตร์และซีรีส์ของไทยต่อไปได้อย่างสวยงาม
อีกประเด็นที่ผมรู้สึกแปลกใจไม่น้อยคือการได้ดู ‘ลอง ลีฟ เลิฟว์’ หลังดูซีรีส์ ‘Delete’ ทาง Netflix กลายเป็นความพิเศษทั้งที่โทนของหนังกับซีรีส์ต่างกันโดยสิ้นเชิงแต่การมีอยู่ของบุคคล 2 ท่านจากซีรีส์ดังกล่าวในหนังเรื่องนี้นั่นคือ สีบาน – นฤพล โชคคณาพิทักษ์ ผู้กำกับภาพ กับ ปีเตอร์ – นพชัย ชัยนาม ในฐานะนักแสดงสมทบในบท นักรบ ยิ่งเป็นบทพิสูจน์ว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้ถูกครีเอตมาด้วยการคิดชั้นเดียวแน่นอน
entertainment
สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ในตอนแรกผมไม่ได้สนใจหรืออยากจะดูเท่าไหร่ แต่มีคนรู้จักไปดูมาแล้วบอกว่าดีให้ลองไปดู ผมจึงตัดสินใจตีตั๋วเดินเข้าไปดูในโรงแบบหัวโล่งๆ ไม่เคยดูตัวอย่างมาก่อน ไม่รู้ว่าเนื้อเรื่องเกี่ยวกับอะไร รู้แค่ว่าซันนี่รับบทนำผมก็วางใจไปเปราะหนึ่ง ซึ่งหลังจากได้ดูจนจบก็รู้สึกว่าตัวหนังทำออกมาได้ดีใช้ได้เลย อาจไม่ได้ดีเยี่ยมจนไร้ที่ติแต่ก็มีดีมากพอให้เสียเงินเสียเวลาไปดู ถือเป็นหนึ่งในหนังรักรอมคอมของไทยที่ไม่อยากให้ทุกคนพลาด ตัวบทเขียนมาได้ดีพอตัว ถ่ายทอดความรักของโลกความจริงออกมาได้อย่างตรงไปตรงมา ไม่โลกสวย แถมยังฉลาดที่ใช้ความไซไฟเล็กๆ เรื่องที่พระเอกถ่ายรูปแล้วจะย้อนไปดูความทรงจำได้เข้ามา ซึ่งมันมีประโยชน์มากๆ เพราะการย้อนไปดูอดีตในบางครั้งก็ดราม่าเข้มๆ สะเทือนใจ แต่บางครั้งก็ตลกเรียกเสียงฮาให้คนดูปะปนกันตามสถานการณ์ไป
ส่วนในด้านการดำเนินเรื่องก็ถือว่าทำได้ดีเช่นกัน ช่วงแรกๆ อาจจะช้าและเอื่อยไปบ้าง แต่เมื่อเรื่องราวเริ่มเข้าที่เข้าทางก็เริ่มสนุกและน่าติดตามมากขึ้น เขาค่อยๆ เล่าๆ ค่อยเฉลยปมออกมาทีละนิด เหมือนพาเราย้อนอดีตไปดูความสัมพันธ์ของคู่รักคู่หนึ่งที่เริ่มอย่างสวยงามและค่อยๆ จืดจางลงไปเรื่อยๆ ชอบที่เขาสร้างตัวละครพระเอกให้ชื่อสติแต่นิสัยกับตรงกันข้ามคือใช้ชีวิตแบบไม่มีสติเลยแม้แต่น้อย ส่วนนางเอกที่ชื่อเมตตาสุดท้ายเธอก็เลือกที่จะไม่ให้อภัยเพราะความรู้สึกที่พังไปแล้วบางครั้งก็เรียกกลับคืนมาไม่ได้ แน่นอนว่าตอนจบอาจไม่ได้แฮปปี้เอ็นดิ้งที่ให้ทั้งคู่ให้อภัยและกลับมารักกัน แต่มันก็ดีกว่าตอนเริ่มเรื่องตรงที่พวกเขาเข้าใจกันมากขึ้นและเลือกที่จะเดินหน้าต่อในฐานะพ่อและแม่ของลูก ส่วนตัวผมชอบจุดนี้มาก มันดูสมจริงและไม่โลกสวยดี ชีวิตรักจริงๆ ของบางคู่มันก็จบแบบนี้เนี่ยแหละครับ