ดูหนัง Exodus Gods and Kings (2014) เอ็กโซดัส ก็อดส์ แอนด์ คิงส์
มหากาพย์สุดยอดอลังการงานสร้างของ ริดลีย์ สก็อตต์ เจ้าของหนังในตำนานอย่าง Gladiator และหนังไซ-ไฟขึ้นหิ้งอย่าง Alien (1979), Blade Runner (1982) และ Prometheus (2012) ครั้งนี้เขานำเอาเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลมาเล่าใหม่ ว่าด้วย โมเสส (คริสเตียน เบล) ชาวยิวผู้ถูกเก็บมาเลี้ยงในวังของอียิปต์ ที่ได้รับบัญชาจากพระเจ้าให้ลุกขึ้นมาทำสงครามต่อต้านกษัตริย์ฟาโรห์องค์ถัดไปนามว่า ราเมเซส (โจเอล เอ็ดเกอร์ตัน) ซึ่งเปรียบเสมือนพี่น้องที่โตตามกันมา โมเสสต้องนำทาสชาวยิวนับ 600,000 คนที่โดนกดขี่ให้ต้องตรากตรำทำงานหนัก เดินทางหลบหนีจากอียิปต์ และเผชิญหน้ากับภัยพิบัติอันเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นด้วยความกล้าหาญ
อ่านรีวิวก่อน ดูหนังนักแสดง
คริสเตียน เบล
โจเอล เอ็ดเกอร์ตัน
อารอน พอล
ซิกัวร์นีย์ วีเวอร์
ผู้กำกับ : ริดลีย์ สก็อตต์
รีวิว
Mckario
[CR] Review — Exodus: Gods and Kings — อะไรกัน นี่หรือคือหนังอีพิค? (ไม่เปิดเผยเนื้อหา)
** ไม่เปิดเผยเนื้อหา **
ขึ้นชื่อว่าผลงานการกำกับของริดลีย์ สก็อตต์ ต้องไม่ธรรมดา ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งในผลงานใหม่ Exodus: Gods and Kings ก็ไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะใช้เงินลงทุนเพื่อเนรมิตเทคนิคพิเศษมาเต็มสูบ ฉากอลังการต่างๆ บรรยากาศความเป็นอียิปต์ต่างๆ ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างสวยงามบนจอภาพยนตร์ น่าเสียดายที่เมื่อดูโดยภาพรวม หนังยังไม่ถึงคำว่าอีพิคได้อย่างที่คาดไว้
ริดลีย์ สก็อตต์ เคยกำกับหนังพีเรียดที่เข้มข้นมาแล้วอย่าง Gladiator ซึ่งดูจะเป็นผลงานที่ขึ้นหิ้ง จนผลงานต่อมาในแนวเดียวกันไม่มีเรื่องใดประสบความสำเร็จได้เท่าเดิม ทั้ง Kingdom of Heaven และ Robin Hood ที่หันมาเอาดีทางด้านงานประกอบฉาก, เทคนิคพิเศษ และเครื่องแต่งกายต่างๆนานา โดยปล่อยให้เนื้อหากลายเป็นตัวสำรองไป
ซึ่งสำหรับใน Exodus: Gods and Kings ก็ยังเป็นเช่นเดียวกับ 2 เรื่องที่กล่าวมา คือเน้นงานเทคนิคพิเศษ, งานประกอบฉาก และเครื่องแต่งกายโบราณ แต่การจับเอาเนื้อหามาตีความ และการดำเนินเรื่องลดบทบาทลง จนไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นหนังอีพิคอย่างเต็มภาคภูมิ เพราะความยิ่งใหญ่แค่งานเทคนิคพิเศษเพียงอย่างเดียว คงไม่พอทำให้หนังมีเสน่ห์ไปทั้งหมดได้
การเล่าเรื่องของหนังยังขาดความลื่นไหล หากใครไม่รู้ประวัติหรือเนื้อหาอียิปต์โบราณมาก่อน ก็คงจะมีเครื่องหมายคำถามปรากฏในใจสำหรับหลายเหตุการณ์ในหนัง ซึ่งหลายครั้งหลายตอนหนังจะรวบรัดเนื้อหา กล่าวด้วยความรวดเร็ว โดยไม่มีคำอธิบาย ปล่อยให้คนดูคิดเองบ้าง เพราะคิดว่าควรจะรู้เรื่องมาก่อนแล้ว ทั้งที่ความจริง หนังควรจะกล่าวถึงบ้าง เพื่อความชัดเจนและเข้มข้น เสริมเป็นบทสนทนาเด็ดๆเพื่อกระชากอารมณ์ หรือฉากอธิบายเพิ่มเติมอะไรก็ได้ ไม่ใช่อยู่ๆจะปล่อยก็ปล่อยผ่านไปเลย
ทางด้านการแสดงของนักแสดง หนังเรื่องนี้มีนักแสดงมากฝีมือตบเท้าเข้าร่วมแสดงหลายคน แต่ความสำคัญของบทหนังชูให้ตัวละครโมเสสของ คริสเตียน เบล และรามเสสของ โจเอล เอ็ดเกอร์ตัน เด่นเกินหน้าเกินตาตัวละครอื่นหลายขุม ทั้งนี้นักแสดงที่เหลืออย่าง เบน คิงส์ลีย์, แอรอน พอล, จอห์น เทอร์เทอร์โร่ และโดยเฉพาะซิเกอร์นีย์ วีเวอร์ ถูกลดความสำคัญลงเป็นเพียงตัวประกอบ ซึ่งการไม่เพิ่มความสำคัญให้กับตัวละครที่เกี่ยวข้องบางตัว ทำให้ฉากอารมณ์ที่เกี่ยวโยงกับเนื้อเรื่องบางฉาก ไม่ส่งความรู้สึกใดๆนอกจากความสงสัยว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนี้?
งานเทคนิคพิเศษในฉากต่างๆทั้งหลาย ทั้งบรรยากาศเมืองอียิปต์โบราณ, ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับเมือง และฉากทะเลแหวกตามตำนาน ถึงมันจะดูสวยงามและอลังการจริง แต่ความรู้สึกกลับเหมือนพยายามนำฉากเหล่านี้มาสุมรวมกัน และปล่อยให้ชมเป็นแพ็คเกจต่อเนื่องกันไป โดยที่ไม่ค่อยมีความเชื่อมโยงระหว่างกัน สร้างคำถามตามมาว่า ฉากเหล่านี้มันเกี่ยวกับเนื้อเรื่องอย่างไรบ้าง? ถ้าตัดออกไปแล้วจะได้มั้ย? คำตอบก็คือ ถ้ามีการอธิบายว่า ภัยพิบัติเหล่านี้จะสร้างความเชื่อให้เกิดขึ้นกับรามเสส เพื่อให้รามเสสตระหนักถึงอะไรบางอย่าง ก็ตัดออกไปไม่ได้ แต่หนังดูเหมือนจะไม่อธิบายอะไรเลย ดังนั้นถ้าตัดบางฉากออกไปก็คงได้
โดยสรุปแล้ว Exodus: Gods and Kings พยายามนำเรื่องความเชื่อทางศาสนา การแสดงอภินิหารของพระเจ้า และความเชื่อในความสามารถของมนุษย์จากความศรัทธาที่มีต่อพระเจ้ามาเล่า แต่สิ่งที่หนังนำเสนอตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมงกว่ากลับไร้พลังอำนาจใดๆที่จะทำให้เชื่อ หนังขาดเสน่ห์ในการดำเนินเรื่อง เล่าเรื่องน่าเบื่อ จุดเด่นตามความประสงค์ก็คงเป็นงานเทคนิคพิเศษ, การออกแบบฉาก, เครื่องแต่งกาย พร้อมทั้งความสวยงามของภาพ 3 มิติในบางฉากที่เอื้ออำนวย นอกจากนั้นแล้ว ผลงานเรื่องนี้ก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งผลงานที่หวังว่าจะดำเนินรอยตาม Gladiator ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ทำไม่ได้อีกตามเคย…
ระดับคะแนน C+
เทพเจ้าคอนเน็ตโต้
รีวิว Exodus Gods and Kings / เมพหมี
สิ่งหนึ่งที่กล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำ คือ งานด้านโปรดักชั่น อลังการสุดๆ ……….ริดลี่ย์ สก็อต ทำหนังแบบไม่บันยะบันยังมือเลย ฉากเมืองหลวงอียิปต์โบราณ สมบูรณ์แบบ ไม่มีที่ติ ทั้งพระราชวัง ปราสาท บ้านเมือง รูปปั้น สถาปัตยกรรม วิจิตรบรรจง อีกทั้ง งานด้านเครื่องแต่งกายก็ใช่ย่อย แต่ละชนชั้นแบ่งแยกได้อย่างดีเมื่อมองเห็น ส่วนด้านการแสดง พี่เบล และ โจเอล ในบท โมเสสและราเมเสส ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ในทุกซีนที่ออกมา สเกลวัดพลังการแสดงดีดขึ้นในจุดสูงสุดเท่ากัน จนปรอทเกือบแตกตลอดทั้งเรื่อง
โดยรวมหนังกล่าวถึง ย่างก้าวแห่งการเปลี่ยนถ่ายการนับถือเทพเจ้า เข้าสู่การนับถือศาสนาที่มีหลักคำสอน (คริสต์) หลายสิ่งหลายอย่าง มันเป็นทั้งความเชื่อและนามธรรม แต่รูปแบบของการแสดงออก มันชัดเจนเป็นรูปธรรม จนสัมผัสได้ ไม่ต่างจากศาสนาพุทธ ที่ยุคสมัยสามารถทำให้เรื่องเล่าบางเรื่องมีอภินิหารเหนือจริง บางเรื่องถูกเล่าสืบต่อกันมาจนเป็นตำนาน เฉกเช่น การที่โมเสสแหวกทะเลแดง (คิดว่าอันนี้คงไม่สปอยนะคับ เพราะใครๆก็น่าจะเคยได้ยินตำนานนี้) ….ซึ่งถ้าไม่นับว่ามันเป็นเรื่องปาฏิหารย์แล้ว มันคือการปลดแอกทาสในสมัยนั้นที่ชาวอียิปต์ใช้อำนาจกดขี่ชาวฮิบรู(อิสราเอล) มาเป็นทาส จนโมเสส ต้องพาชาวฮิบรูหนีทหารอียิปต์ฝ่าทะเลแดงออกมา
สรุป โดยส่วนตัวผมคิดว่า ไม่ควรพลาดที่จะได้ชมอีพิคหนังมหากาพย์แบบนี้ นานๆจะมีซักหน แถมยังได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพระคัมภีร์มากขึ้น ซึ่งลึกๆแล้วมันอาจเป็นเรื่องของแต่ละศาสนา แต่ถ้าเราเปิดใจยอมรับรู้ รับฟัง มันย่อมเป็นผลดีแก่ตัวเราเองอย่างแน่นอน
พลาดไม่ได้ ถ้าคุณเป็นแฟนหนัังพันธ์แท้ตัวจริง
.
.
.
.
*******
(ยังไม่ได้ดูหนัง บทความต่อไปนี้ มี !!!! สปอยเต็มๆ !!!! ข้ามไปดีกว่านะคับ ….
รวมถึงคอมเม้นท์ บางอันก็อาจมีสปอย ถ้าไม่กลัวเสียอรรถรส เชิญอ่านได้ตามสบายเลยคับ)
*******
นอกเหนือจากเรื่องฉากและโปรดักชั่นที่ดีเลิศแล้ว เนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับด้านความเชื่อที่เป็นไปตามพระคัมภีร์ ซึ่งมันเหมือนเป็นข้อกำหนดที่ห้ามบิดเบือน เส้นเรื่องมันจึงไม่สามารถหลุดออกนอกกรอบได้ (ดูๆไปก็แอบง่วงเล็กๆ) แล้วไอ้ฉากแสนอลังการเนี่ย บอกตามตรงนะคับ มันก็ไม่ได้ทำให้เราอ้าปากค้างได้เหมือนเมื่อ 20-30 ปีก่อน เพราะเดี๋ยวนี้งานด้าน CG มันล้ำลึกจนชาชิน เรื่องไหนๆ มันก็เจ๋งๆทั้งนั้น ไม่แตกต่างเท่าไรนัก
ด้านความสัมพันธ์ของโมเสสและราเมเสส ก็ดูไม่เห็นความแนบแน่นและแตกร้าวอย่างชัดเจน ไม่รู้เพราะที่ไทยตัดความยาวหนังเต็มๆออกจนเหลือแค่ 2ชมครึ่ง รึปล่าว? จนผมรู้สึกไม่ลึกเท่าไรกับสองคนนี้ ซึ่งใจจริงอยากได้มากกว่านั้น
ดาราประกอบหลายคน ประกอบจริงๆ อย่าง จอน เทอเทอโร่ ดูไงก็ไม่เหมือนฟาโรห์ , ซิกกอนี่ย์ วีเวอร์ จมหายไปในหนังแบบไร้ร่องรอย เบนส์ คิงสลี่ย์ และ แอรอน พอล จาก นีดฟอร์สปีด ยังดูเด่นกว่ามาก แต่ที่เตะตาผมคือ มาเรีย วาลเวอเด้ ในบทศรีภรรยา ของโมเสส หน้าคมมาก ออกมาทีไรดึงดูดความสนใจได้ตลอด
สิ่งที่ดีที่สุดของหนังสำหรับผม คือการแหวกทะเลแดงของโมเสส ในจินตนาการของผมแบบที่เคยรับรู้มา โมเสสต้องคว้าไม้เท้าจิ้มไปบนทะเลจนมันแหวกออกสองข้างให้คนเดินได้ แต่ริดลี่ย์ เอาความจริงมาเสนอ คือถ้าทะเลจะแหวกได้จริงๆ มันต้องแบบซึนามิครับ ก่อนเกิดมันจะดูดน้ำทะเลย้อนกลับไปก่อน จนทะเลเหือดแห้ง แล้วหลังจากนั้นคลื่นยักษ์ก็จะถาโถมมา ผมว่าอันนี้แหละ ที่เจ๋งฝุดๆ
สรุปสุดท้าย ………………ผมว่าหนังมันไม่ให้ความบันเทิงเท่าที่ควร ฉากรบต้นเรื่องอาจจะเป็นฉากตื่นเต้นที่สุดแล้วก็เป็นได้ ผมคิดว่างั้นนะ
55dada55
[SR] [Review] Exodus: Gods and Kings – เอ็กโซดัส ก็อดส์ แอนด์ คิงส์ : หนังศาสนาแต่ตื่นตาตื่นใจ
Exodus: Gods and Kings – เอ็กโซดัส ก็อดส์ แอนด์ คิงส์ : หนังศาสนาแต่ตื่นตาตื่นใจ
สร้างจากโครงเรื่องตำนานโมเสสในศาสนาคริสต์ที่เราก็เคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง และเคยดูการ์ตูนจากฝั่ง Dreams Work อย่าง The Prince of Egypt ที่เรียกว่าเหมือนนำกลับมาเล่าเรื่องใหม่ในอีกมุมมอง
เรื่องราวของผู้นำการต่อต้าน โมเสส เมื่อเขาลุกขึ้นมาต่อต้านกษัตริย์ฟาโรห์ของชาวอียิปต์ผู้มีนามว่า แรเมซีส โดยนำทาสนับ 600,000 คน เดินทางหลบหนีจากอียิปต์และภัยพิบัติอันเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นด้วยความกล้าหาญ
ส่วนตัวที่พอจะรู้เรื่องตำนานนี้และเคยดูมาบ้างแล้ว รู้สึกชอบกับการเล่าเรื่องแบบนี้มากกว่าเรื่องอื่นๆ คือไม่ดูงมงายหรือเว่อร์จนเกินไป จนกลายเป็นอภินิหาร แต่ให้ความเป็นภัยธรรมชาติมากกว่า อาจจะไม่ตรงกับตำนาน แต่ในฐานะที่เราไม่ได้นับถือคริสต์ตรงส่วนนี้ก็เลยไม่ติดใจอะไร ดูแล้วถือว่าบันเทิง ที่มีทั้งดราม่า ฉากรบสุดอลังการ งาน CG ภาพสวย เนี๊ยบ สมจริง หนังค่อนข้างยาว จะมีช่วงเนือยๆ ตอนกลางเรื่องนิดหน่อย แต่ก็ยังดึงความสนใจเราได้อยู่ และดูสนุกจนจบเรื่อง
สรุป
– เรื่องนี้นำกับมาเล่าใหม่ ซึ่งอาจไม่ตรงตามตำนาน แต่พยายามเล่าในแบบที่สมจริงมากขึ้น ไม่ดูเป็นอภินิหารมากเกินไป
– ตื่นตาตื่นใจกับงานภาพสวย ฉากเนี๊ยบ และอลังการ ตอนรบกันก็ดูสนุก
– หนังยาวไปนิดนึง แต่ก็ไม่น่าเบื่อ ช่วงกลางดูได้เรื่อยๆ ช่วงท้ายกลับมาสนุกอีกครั้ง
– ชอบฉากภัยพิบัติ อลังการ สมจริงมาก (ในฐานะที่เคยเห็นสึนามิมากับตา ดูแล้วขนลุกเลย)
– เรื่องนี้คิดว่าแล้วแต่ความชอบนะ แต่สำหรับเราถ้าเทียบกับหนังแนวศาสนาแบบนี้อย่าง Noah เราชอบเรื่องนี้มากกว่ามาก ทำได้ดีเกินกว่าที่คาดไว้
– ดูในระบบ 3D ภาพสวย แต่ฉาก 3D น้อยไปนิดนึง
My vote 7.5/10