Frozen 2 (2019) โฟรเซ่น 2 ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ

นักแสดง

คริสเตน เบลล์

ไอดินา แมนเซล

จอร์ช แกด

โจนาธาน กรอฟฟ์

ผู้กำกับ : คริส บัก , เจนนิเฟอร์ ลี

รีวิว

สมาชิกหมายเลข 5153424

รีวิว Frozen 2 ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ (จากผู้ชมประเทศสหรัฐอเมริกา) สปอยเล็กน้อย

ผมแปลมาจากบทความของนักวิจารย์ท่านหนึ่งที่รับชมในรอบวันที่ 07/11/19 (สปอยเล็กน้อย)

+ ความคาดการณ์ก่อนชมภาพยนตร์ Frozen 2 นับว่าสูงมาก เพราะหนังภาคแรกประสบความสำเร็จ โดยกวาดรายได้ไป 1200,000,000 เหรียญสหรัฐ (หลังจากชม คือ อบอุ่นใจมาก)

+ ขณะนี้คะแนนจากนักวิจารณ์จากเว็บ Rotten Tomatoes อยู่ที่ 82%

+ ความคิดเห็นของฉันหลังชมภาพยนตร์ ภาค 2 คือภาพยนตร์ทำได้ดีขึ้นมาก ถ้าคุณชื่นชอบภาพยนตร์ภาค1 ตัวละครที่คุณชอบ,เพลงที่ติดหูและภาพทิวทัศน์ที่สวยงาม มันจะทวีคูณในภาค 2 ทุกอย่างพัฒนาขึ้น

+และที่สำคัญ ตัวละคร Svan และ Olaf มนุษย์หิมะกับกวางเรนเดียร์ (ทำได้ออกมาตลกมาก) มันทำให้ฉันหัวเราะออกมาอย่างเสียงดัง โดยเฉพาะ Olaf มันสามารถขโมยซีนของภาพยนตร์ได้เลย และมันเป็นตัวที่ทำให้ภาพยนตร์สนุกขึ้นมากจนอยากลุกขึ้นปรบมือให้ เหมือนนั่งอยู่ในโรงละครเลยทีเดียว

+ ฉันคิดว่าข้อดีของภาพยนตร์คือ ภาพ Animation มันดูยิ่งใหญ่อลังการมาก แต่ขอเตือนว่าควรดูภาค 1 ไปก่อน เพราะต้องอาศัยความรู้เก่าพอสมควร เมื่อดูภาค 1แล้ว มาดู ภาค 2 คุณจะเห็นถึงพัฒนาการความก้าวหน้าของภาพยนตร์มากขึ้น โดยเฉพาะเมือง Aren Delle มันสวยงามสมจริงมาก ภาพวิวทิวทัศน์ก็ตระการตา โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ร่วง มันช่างสวยสดงดงามเหลือเกิน

ติดตามรีวิวเต็มๆ และความเห็นของผู้ชมคนอื่นๆได้ที่

ฮีโร่ตัวน้อย

[CR] [##REVIEW##] Frozen 2 (2019) ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ | ดินแดนที่ไม่รู้ [มีส้มป่อย]

ผมไม่ได้ปลื้ม Frozen ภาคแรกอะไรมากมายนะครับ แต่ก็เป็นหนังแอนิเมชั่นของ Disney ที่ทำออกมาได้ดีในระดับนึงเลย แต่ก็ยังไม่ได้ประทับใจมากเท่าไหร่ สำหรับภาคนี้ ทีแรกผมก็ไม่ได้อยากดูมากแต่ก็คงคิดว่าต้องไปดูแน่นอน แต่หลังจากได้ดูตัวอย่างแรกที่ปล่อยออกมา ผมสนใจมากครับ เพราะเราได้เห็นอะไรใหม่ๆ เยอะมาก และเนื้อหาที่เราไม่รู้ว่าหนังจะเล่นประเด็นอะไร ผมเลยชวนเพื่อนไปดูถึง 5 คนครับ เพราะหนังแนวนี้ต้องดุกับเพื่อนฝูงถึงจะสนุก ไปถึงหน้าโรงคนเยอะพอสมควรครับ แถวบนนี่ไม่มีที่ว่างเลย(ส่วนใหญ่เป็นผู้ปกครองพาลูกพาหลานมาดู ระหว่างดูเลยอาจจะได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวบ้างแต่ก็ไม่ได้สร้างความรำคาณให้ผมแต่อย่างใด ถือว่าดี555) ผมดูรอบบ่ายคนเลยไม่เยอะมาก แต่รอบเช้าเต็มทุกที่นั่งเลย555
เอลซา (Idina Menzel) ราชินีเอเรนเดลผู้มีพลังแห่งหิมะได้ยินเสียงพรากจากแดนไกลที่มาพร้อมภัยพิบัติครั้งใหญ่ต่อเอเรนเดล จนเธอ และอันนา (Kristen Bell) น้องสาวของเธอ คริสทอฟ (Jonathan Groff) โอลาฟ (Josh Gad) และสเวน จึงออกเดินทางเพื่อตามหาที่มาพลังของเอลซา และได้ล่วงรู้ความลับของตำนานความขัดแย้งระหว่าง เอเรนเดล กับ นอร์ธัลดรา ที่อาจเป็นกุญแจสำคัญสู่คำตอบที่พวกเธอหาอยู่

หลังดุจบแล้ว เพื่อนผมทุกคนชอบมากครับ แต่ละคนก็บอกว่าเนื้อเรื่องน่าติดตามและมุขตลกก็ฮามาก หนึ่งในเพื่อนผมร้องไห้ด้วย ซึ่งผมอึ้งมากเพราะไม่นึกว่าเขาจะอินขนาดนี้555 ส่วนตัวผมนั้นผมก็ค่อนไปทางชอบครับ แต่ก็ไม่ได้ชอบมากเป็นพิเศษ เพราะมีหลายอย่างที่มันดีและก็ด้อยกว่าภาคแรก ขอบอกก่อนนะครับว่ารีวิวนี้ยาว ถ้าใครขี้เกียจอ่านก็เลื่อนไปอ่านสรุปที่ย่อหน้าสุดท้ายได้เลย เพราะผมเขียนยาวแน่นอน ดีไม่ดีอาจจะมีสปอยโผล่เข้ามาด้วย
จุดที่ยอดเยี่ยมมากในภาคนี้ก็คืองานภาพครับ ภาพที่คมกริ๊บทุกจุด มีหลายฉากที่สมจริงมากจนน่าตกใจ ก็ถือว่าเป็นงานมาตรฐานของ Disney ครับ งานภาพนี่ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ และดนตรีประกอบของ Christophe Beck ที่เสริมความอลังการของงานภาพให้ยอดเยี่ยมมากขึ้น ทางด้านตัวละครก็มีพัฒนาการที่น่าสนใจจนแอบคิดว่าถ้ามีภาคต่อคงน่าสนใจแน่ๆ ส่วนเพลงประกอบนั้นก็ทำได้ดีมาก ส่วนตัวคิดว่าเพลง Into the Unknow กับ Lost in the Woods นั้นมี impact มากกว่า Let It Go ในภาคแรกเสียอีก ในเพลง Let it Go นั้นจะได้ฟิลแบบเป็นอิศระ ส่วน Into the Unknow จะได้ฟิล epic adventure เสียมากกว่า แล้วพอมาผสมผสานกับเนื้อเรื่องของภาคนี้แล้ว ก็นับได้ว่าเป็นการผสมผสานกันที่ลงตัวมากๆ เลย

ทางด้านเนื้อเรื่อง ผมว่าน่าสนใจที่จะเลือกเล่าถึงที่มาที่ไปของพลังวิเศษของเอลซ่า และปมปริศนาก็ถือว่าคลี่คลายได้ไม่ติดขัดอะไรมากมาย แต่ผมว่าจังหวะการเล่าเรื่องในภาคนี้ยังมีปัญหาอยู่มาก ในช่วงแรกถึงกลางเรื่องนั้นยังถือว่าสะดุดเยอะมาก นั่นทำให้เกิดปัญหาอันใหญ่หลวงตามมานั่นก็คือ “plot hole”
ในที่นี้อาจจะสรุปง่ายๆ ได้ว่า “หนังมีพล็อตที่น่าสนใจ+การเล่าเรื่องที่ไม่ลงรายละเอียดลึกมาก=บทหนังที่ดูมีปัญหา” พล็อตดีที่ว่าก็คือป่าลึกลับที่มีพลัง 4 ธาตุ ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ได้สถิตอยู่ในป่าลึกลับแห่งนั้น ทีนี้มีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้นทำให้อำนาจของธาตุทั้ง 4 ธาตุใช้พลังหมอกปกปิดผืนป่าไว้ ทีนี้เอลซ่า ได้ยินเสียงเรียกมาจากป่าแห่งนั้น มันคือเสียงอะไรกันแน่? แล้วเสียงนั้นจะเรียกเอลซ่าไปทำไม? ถือว่าเป็นการเขียนพล็อตที่น่าสนใจมากๆ เลยครับว่าหนังจะไปลงเอยแบบไหน
ซึ่งหนังก็ลงเอยได้ดีครับ แต่ระหว่างทางก่อนที่จะมาถึงบทสรุปเนี่ย หนังก็มีแผลเยอะอยู่พอสมควร ตั้งแต่ปมการสร้างเขื่อนที่ให้รายละเอียดกับคนดูน้อยเกินไป ทำให้บางคนอาจจะไม่อินกับฉากไคล์แมกซ์ได้เลย ชาวบ้านในป่าลึกลับผมก็ยังไม่ได้รู้เรื่องราวของพวกเขามาก และสุดท้ายผมก็ไม่อินกับทัศนคติและการตัดสินใจของคิงรูนาร์ด เพราะหนังไม่ได้ผูกปมตรงนี้ให้คนดูอิน แต่เป็นเล่าให้คนดูรู้ว่า “เอ้อ ไอ้คิงรูนาร์ดมันทรยศนะ มันเลยสร้างเขื่อนไว้เพื่อให้มีอำนาจต่อไป” ซึ่งการเล่าแบบนี้+ระยะเวลาของหนังที่มี มันไม่สามารถทำให้ปมนี้เป็นปมที่ทำให้ฉากไคล์แมกซ์น่าสนใจขึ้นเลย ในช่วงฉากไคล์แมกซ์นั้นผมก็ไม่ได้ลุ้นอะไรมาก เพราะมีแปปเดียวก็จบแล้ว ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เกิดอารมณ์ร่วมอะไรกับปมก่อนหน้านั้นเลย ทำให้ผมเฉยๆ กับฉากบนเขื่อน หนังมาทำคะแนนดีขึ้นตรงฉากหยุดคลื่นของเอลซ่าที่บอกเลยว่าอลังการมาก แต่จะพีคกว่านี้มากถ้าปมผูกมาดีและฉากบนเขื่อนทำได้ลุ้นกว่านี้

แต่กระนั้นผมว่าปมอื่นของหนังก็ทำได้ดี เช่นปมการตามหาตนเองที่เอลซ่าพยายามทำมาตลอด พ่อแม่ของเธอยอมสละชีวิตเพื่อหาคำตอบให้ได้ว่าเอลซ่าคืออะไรกันแน่ การสละชีวิตครั้งนี้ทำให้เอลซ่าตระหนักได้ว่า พ่อแม่ของเธอนั้นได้สร้างความมหัศจรรย์ไว้กับเธอ ให้เธอเอาไว้ใช้ปกป้องน้องสาวอย่างอันนา แม้ความมหัศจรรย์ครั้งนี้จะสร้างบาดแผลไว้ในอดีต แต่ถ้ายอมที่จะ “Let It Go” แล้วยอมรับในสิ่งที่เป็นเพื่อใช้มันให้ถูกทาง นั่นคือ “The Next Right Thing” ที่แท้จริง
จริงๆ ปมดีครับ แต่ว่าการนำเสนอและการเล่าเรื่องยังไม่จับใจนัก ปมเหล่านี้เลยเป็นแค่สาระข้างฝาเท่านั้น ถ้าหนังยาวกว่านี้สัก 2 ชั่วโมงครึ่งเนี่ย แล้วเล่าแบบเต็มเหนี่ยวกว่านี้นะ ผมว่าจะสุดยอดกว่าภาคแรกแน่นอน

ผมว่าฝีมือของ Chris Buck และ Jennifer Lee ยังดีอยู่จากภาคแรกครับ ถึงแม้บทของหนังจะมีช่องโหว่บ้างตามที่ผมบ่นมา แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าแกเอาใจกลุ่มเป้าหมายได้ดีครับ เพราะส่วนใหญ่ตอนที่ผมดูเนี่ย ทุกคนในโรงจะแฮปปี้กันทั้งนั้น ผมได้ยินเสียงขำดังมาเรื่อยๆ ระหว่างดู ซึ่งทำให้ผมก็อดที่จะขำตามไม่ได้ อย่างฉากการร้องเพลง “When I Am Older” ของโอลาฟเนี่ย ผมขำหนักมาก และก็ฉาก “Lose in the Woods” ผมก็ขำหนักมากเหมือนกัน ฉะนั้นในแง่ความบันเทิงผมว่า Frozen 2 สอบผ่านฉลุย แต่ในแง่ความดีงาม ผมว่ายังไม่มากเท่าที่ Moana, Tangled หรือว่า Mulan เคยทำไว้ แต่ก็สนุกไม่เสียชื่อ Disney กับ Frozen ครับ

สรุปแล้ว Frozen 2 ก็เป็นภาคต่อของ Frozen ที่ดูสนุกแบบที่ภาคแรกเคยทำไว้ ด้วยภาพที่งดงามกับเนื้อเรื่องที่น่าสนใจ และเพลงที่อลังกว่าภาคแรก มาเจอกับการดำเนินเรื่องที่กระตุกกระตักและบทที่แหว่ง ทำให้ผลที่ออกมาผมยังไม่ได้ประทับใจกับ Frozen ภาคนี้มาก แต่ผมว่าผมแอบชอบภาคนี้มากกว่าภาคแรกตรงที่มุขตลกและเพลง ถ้าบทดีกว่านี้ผมว่าหนังจะยอดเยี่ยมแน่นอน แต่ก็ยังแนะนำให้ดูครับ ไม่เสียดายตังค์แน่นอน
ปล. ดูจบต้องเปิด Spotify แล้วฟัง “เต่างอย” กับ “น้ำตาย้อยโป๊ก” ทันที

คะแนนเฉลี่ยรวม : 8/10
เรตหนัง : หนังดีที่ควรดู

Disney Everything TH

❄🍁[รีวิว] Frozen 2 จากใจแอด #DisneyEverything 💗
บอกได้เลยค่ะว่าผิดหวังมากกกก… เพราะว่า อยากให้ยาวต่อเนื่องแบบ 3 ชั่วโมงง 5555555555555555 (อ่านทีแรก ต้องมีคนใจหายแวบอ่ะพูดเลย!! //แอดหยอกเล่นนะตัว😝)
สำหรับ #Frozen2 ภาคนี้ถ้าใครไม่ได้ดูต้องไปดูนะคะ เพราะเนื้อเรื่องเข้มข้นมาก ฉากบู๊ยืนหนึ่ง บู๊ยิ่งกว่ามู่หลานออกรบอี๊กกก 5555555 ภาพสวย เพลงแน่น+เพราะมาก และที่สำคัญในเรื่อง Elsa สวยแบบวัวตายควายล้มมากกกกกกกก 💗💗 คือสวยแบบจริงจังเว่อร์ ยืนหนึ่งสะกดทุกสายตา ลุคควีนเอามงไปสิบมงเลยจ้าแม่~ 👑👑👑👑👑👑👑👑👑👑
🍁🍁 เนื้อเรื่องไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก ดำเนินเรื่องค่อนข้างเร็ว ปมตัวละครหลักๆ ก็เคลียร์ครบอยู่ // คหสต.แอดเองจะมีฉากบางอย่างที่อยากให้เพิ่มรายละเอียดอยู่บ้างแต่ก็โดยรวมภาพรวมถือว่า #ผ่าน เหมาะกับทุกวัย เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี ติ่งดูไปเหอะ!! หวีดแบบไม่ผิดหวัง 😂😂 ฉากตลก ฮาๆ น่ารักๆ มีเยอะอยู่ 😉
📌สรุปไปดูกันนะ คนดีของแอดทั้งหลาย 55555 เสียดายที่ตอนที่ดู แอดไม่ได้พกแว่นไป (แอดสายตาสั้นนิดนึง 555) ทำให้ภาพมันเบลอๆ นิดนึง 5555555555 แต่ขนาดมองไม่ชัด ภาพยังสวยเลยพวกเธอ~ ถ้าใครมองไม่ชัดแบบแอดอย่าลืมแว่นนะคะ ใส่คอนแทคก็ได้ เอาที่สะดวก5555555555

ทำเรื่องเล่นให้เป็นเรื่องใหญ่

รีวิว – Frozen 2

เรียกได้ว่าเป็นหนังภาคต่ออีกเรื่องที่รอคอยกันมานานมากสำหรับ Frozen โดยหนังในภาคนี้จะเล่าถึงเรื่องราว 3 ปีหลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก

ในวันหนึ่ง เอลซ่า ได้ยินเสียงลึกลับที่เรียกหาเธอ และในที่สุดเธอ แอนนา คริสตอฟ โอลาฟ และสเวน ก็ตัดสินใจเดินทางออกจาก เอเรนเดล เพื่อตามหาที่มาของเสียงดังกล่าว และนั่นก็ทำให้เธอได้พบความจริงบางอย่างเกี่ยวกับอดีตของพ่อแม่ รวมไปถึงที่มาของพลังพิเศษของเอลซ่า

สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้แตกต่างจากภาคแรกก็น่าจะเป็นเนื้อเรื่องที่มีความซับซ้อนและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่สิ่งที่ยังคงเหมือนเดิมก็คือความเป็นมิวสิคัลที่เดินเรื่องด้วยเพลง และงานภาพที่น่าประทับใจ

ส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างชื่นชมความกล้าที่จะหลุดออกจากกรอบเดิมๆ ของภาคนี้ แต่ก็ยังชอบความลงตัวของภาคแรกมากกว่า โดยเฉพาะในพาร์ตของดนตรี ซึ่งในภาคนี้อาจจะยังไม่มีเพลงที่ทำให้เรารู้สึกติดหูมากๆ เหมือนกับ Let It Go หรือ Do You Want to Build A Snowman

ผมคิดว่าเสน่ห์สำคัญของภาคนี้ก็น่าจะอยู่ที่ โอลาฟ ซึ่งภาคนี้ปล่อยมุกแบบจัดเต็มมาก แถมยังมีพาร์ตดราม่าที่ทำให้เรายิ่งรู้สึกหลงรักตัวละครตัวนี้มากเข้าไปอีก

รวมๆ แล้ว Frozen 2 ก็ยังเป็นหนังอนิเมชั่นชั้นดีดูสนุก และเป็นการขยายจักรวาลจากภาคแรกไ้ด้อย่างน่าสนใจ ซึ่งถ้าใครเป็นแฟนๆ Frozen อยู่แล้ว ก็ไม่ควรพลาดเลยครับ