ดูหนัง 365 Days This Day (2022) 365 วัน เลาร่าและมาสซิโมกลับมาอีกครั้งพร้อมเคมีที่ร้อนแรงยิ่งกว่าเดิม แต่ตระกูลของมาสซิโมและหนุ่มปริศนาที่พยายามแย่งชิงหัวใจของเลาร่าอาจเป็นอุปสรรคที่ขวางกั้นรักของทั้งคู่
อ่านรีวิวก่อน ดูหนังนักแสดง
Anna-Maria Sieklucka
Michele Morrone
Simone Susinna
Magdalena Lamparska
ผู้กำกับ
Barbara Bialowas , Tomasz Mandes
รีวิวหนัง 365 Days This Day (2022) ดูหนังออนไลน์
มาถึงหนังภาคต่อที่คนทั้งโลกรอคอย(หรือเปล่า?) กับอีโรติกสุดเร่าร้อนแห่งทศวรรษที่กวาดยอดวิวได้อย่างมหาศาล กลับมาพร้อมกับภาคใหม่ที่ชื่อว่า “365 Days: This Day” ที่ยังคงคอนเซ็ปต์ความเย้ายวนและกลิ่นอายคาวรสนิยมทางเพศที่เดือดร้อนอีกเช่นเคย นักแสดงและทีมงานชุดเดิมยังคงกลับมาสานต่อ เนื้อเรื่องก็ขยายออกไปกว้างยิ่งขึ้น พร้อมกับตัวละครใหม่ ๆ เพียบ เพียงแต่ว่า…มันช่วยส่งเสริมหรือบั่นทอนหนังเรื่องนี้ให้ดำดิ่งลงไปกันนะ
365 Days: This Day เล่าเรื่องราวต่อเนื่องจากภาคที่แล้ว ความรักและความสัมพันธ์ของ เลาร่า กับ มัสซิโม แนบแน่นยิ่งขึ้นกว่าที่เคย พวกเขาได้เริ่มต้นใช้ชีวิตสมรสด้วยกันอย่างเป็นทางการ แต่เพราะความลับที่ยังแอบซ่อนอยู่เกี่ยวกับสายใยตระกูลมัสซิโม กับบุรุษลึกลับที่ปรากฏตัวขึ้นและได้สร้างความสับสนในการเรียกร้องตามหัวใจของเลาร่า ยิ่งทำให้ชีวิตคู่ของทั้งสองผูกปมทับถมให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น
ถ้าจะเปรียบเทียบกับภาคที่แล้ว ก็คงจะต้องบอกว่าหนังมีเส้นเรื่องที่เพิ่มเยอะขึ้นมาก เพียงแต่เส้นเรื่องที่ใส่เข้ามานั้นช่างไร้น้ำหนักและไม่ได้มาช่วยเติมเต็มให้กับหนังเรื่องนี้เลยแม้แต่นิด ภาคนี้ไม่ได้โฟกัสอยู่แค่ความเร่าร้อนระหว่าง เลาร่า กับ มัสซิโม อีกต่อไปแล้ว มีตัวละครใหม่เสริมทัพเข้ามาอีกมากมาย และตัวหนังก็ยังค่อนข้างล้มเหลวในการสร้างมิติให้กับตัวละครนั้น ๆ กลับกลายใส่เข้ามาให้รู้สึกรำคาญใจมากยิ่งกว่าเดิม
เนื้อหาของ 365 Days: This Day กลับใส่ความน้ำเน่า เพิ่มกลิ่นความเหม็นคลุ้งเข้ามาเป็นเท่าตัว พล็อตเรื่องจริง ๆ มีแค่เพียงหยิบมือเดียว และเป็นสิ่งที่คนดูที่มีพื้นฐานของละครไทยก็สามารถเดาได้ตั้งแต่เริ่ม ซึ่งแน่นอนว่าปมประเด็นต่าง ๆ ทีเพิ่มเข้ามานั้นดูเป็นละครหลังข่าวมากไปสักหน่อย เป็นชนวนที่ทำให้ภาคนี้ไม่ได้ทำให้มีอะไรน่าลุ้นและมีสิ่งที่ตรึงตราได้เท่ากว่าภาคที่แล้ว ทั้งที่ก็ไม่ได้เป็นหนังที่ดีอะไรแต่อย่างใด
การแสดงของของ “มิคาเอล มอร์โรน” และ “อันนา มาเรีย เชกลุกก้า” ก็ไม่ได้ให้ความแปลกใหม่อะไร ซ้ำยังสังเกตเห็นด้วยซ้ำว่า พวกเขาดูช้ำหมองลงและไร้ความสดใหม่แบบที่เคยได้เห็นในภาคที่แล้วอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่นักแสดงคนอื่น ๆ ที่เพิ่มเข้ามา อย่าง “ซิโมน ซูซินอา” หรือ “แม็กดาเลน่า ลัมพาร์ก้า” ก็ไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งกับตัวหนังได้แต่อย่างใด พวกเขาเป็นได้แค่เพียงตัวละครที่เพิ่มเสริมเข้ามาให้เต็มเท่านั้น
และแน่นอนว่า 365 Days: This Day ยังคงเต็มไปด้วยไดอะล็อก หรือ บทพูดประหลาด ๆ ที่หยิบโครงมาจากนิยายน้ำเน่าเหมือนไม่ได้ดัดแปลง “ฉันไม่ได้ใส่กางเกงใน” ประโยคแรกที่เปิดเรื่องขึ้นมา…ก็ทำให้รู้สึกอิหยังวะได้พอประมาณ ไหนจะต้องมาเจอประโยคพูดเลียน ๆ เหมือนกับแกะภาษาวรรณกรรมมาใช้ ผนวกกับลีลาการแสดงเซ็กซี่ประดิษฐ์ประดอยของนักแสดง ที่ยิ่งทำให้หนังเรื่องนี้ดูน่าขบขันยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ
365 Days: This Day ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งดูมิวสิควิดีโอเพลงยั่ว ๆ เพลงหนึ่งที่มีความยาวกว่าปกติ เป็นมิวสิควิดีโอของพวกคู่รักตระกูลเศรษฐีทำขึ้นมาเพื่ออวยความรวยของตัวเอง ทั้งภาพและโปรดักชั่นต่าง ๆ ชวนให้นึกคิดไปถึงอะไรแบบนั้น ฉากโรแมนติกต่าง ๆ กลายเป็นความย้วยและสโลโมชั่นแบบเกินจำเป็น และที่ขาดไม่ได้ถือการใส่เพลงประกอบเข้ามาในหนัง ใส่เข้ามาเยอะเช่นเคย เยอะมากจนคิดว่าเกินจำเป็นไปด้วยซ้ำ และเป็นเพลงที่ไม่ได้เข้ากับโทนอารมณ์ของหนังสักเท่าไหร่ด้วย
มาถึงสิ่งที่หลายคนน่าจะอยากรู้ว่า 365 Days: This Day นั้นมีระดับความแซ่บในฉากวาบหวิวต่าง ๆ แค่ไหน คงต้องบอกว่าใครที่คาดหวัง อาจจะต้องผิดหวัง เพราะดีกรีความเร่าร้อนในภาคนี้ค่อนข้างดร็อปลงไปจากภาคแรกอย่างเห็นได้ชัดเจน ท่วงท่าจังหวะในกามลีลาของหนังเรื่องนี้่ค่อนซ้ำซากจากภาคที่แล้ว มีหลาย ๆ ฉากที่ไม่ต่างไปจากสิ่งที่เคยเห็นมาแล้ว และในสัดส่วนของปริมาณก็ลดลง อีกทั้งยังคลุมโทนด้วยการใช้เทคนิคมุมภาพที่เซฟและไม่หวือหวาแบบที่ในภาคที่แล้วด้วย
เอาเป็นว่าในภาพรวมนั้น ถ้าเปรียบเป็นรสชาติของเมนูอาหาร 365 Days: This Day ให้รสชาติที่จัดจ้านลดลงไปในระดับที่พอทานได้ แต่ความอร่อยกลับยิ่งลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ หนังแทบไม่มีอะไรเลย กับเนื้อหาน้ำเน่าเหมือนละครหลังข่าวเช่นเดิม สาธยายออกมาในมุมมองว่าพยายามขยายจักรวาลนี้ให้กว้างขึ้น แต่กลับไม่สามารถดึงดูดและซื้อใจผู้ชมได้เพิ่ม ปมการเมืองต่าง ๆ ในยังไม่ได้รู้สึกหนักแน่นเพียงพอ ยังเป็นหนังสไตล์คนบ้ากามที่อย่าไปมองหาสาระใด ๆ แต่จะให้ไปหาความบันเทิงก็เกือบจะหาไม่เจอแล้ว
หนังภาคนี้ไม่ถึงกับว่าผิดหวัง เพราะไม่ได้คาดหวังใด ๆ แต่สัมผัสได้ชัดเจนถึงการดร็อปลงของทุก ๆ แง่มุมและองค์ประกอบที่เคยเป็นเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ ดูหนัง 365 Days This Day และให้ตายเถอะ…เรายังจะต้องรอดูอีกภาคที่จะตามออกมาอีกเป็นไตรภาค ก็ได้แต่ตั้งคำถามว่า หนังอีโรติกแบบ 365 Days มีคุณค่าและมีดีอะไรถึงต้องสร้างเป็นแฟรนไชส์หนังภาคต่อออกมาเยอะแยะขนาดนี้กันนะ…?
beartai
365 Days: This Day ภาคต่อที่ทุกคนรอคอยหรือเปล่านะของ 365 DNI เล่าเรื่องราวต่อจากภาคที่แล้วและเสิร์ฟออร์เดิร์ฟเบา ๆ ให้หายคิดถึงด้วยฉากแซ่บซี๊ดบนโต๊ะ ท่ามกลางแสงแดดสาดส่องไล้สรีระของ เลาร่า (อันนา-มาเรีย เชกลูสกา) และ มัสซิโม (มิเคเล มอร์โรเน) เจ้าบ่าวมาเฟียของเธอ ก็เป็นฉากที่เขาทั้งคู่พลอดรักก่อนจะเข้าพิธีแต่งงาน ที่อื้อหืม เปิดฉากกันแบบนี้เลยเหรอ
แน่นอนว่าความรักของพวกเขาครั้งนี้แนบแน่นยิ่งกว่าเคย เพราะเธอได้เปลี่ยนสถานะเป็นภรรยาของเขาอย่างเต็มตัว แต่การเริ่มต้นครั้งใหม่ของคู่รักคู่นี้ ต้องเผชิญกับเรื่องราวสุดน้ำเน่า เพราะความลับที่แอบซ่อนอยู่ภายในตระกูลของมัสซิโม่ได้ก่อปัญหาให้กับเลาร่าเข้าจนได้ และ นาโช (ซิโมเน ซูซินนา) ชายลึกลับสุดเซ็กซี่ที่เข้ามาในชีวิตเลาร่า ทำให้การแต่งงานครั้งนี้เกิดปมใหญ่ขึ้นในหัวใจของเลาร่า ที่ภาคนี้ต้องบอกว่าเลาร่าช่างเป็นนางเอ๊กนางเอก น้ำส้มคั้นต้องมาแล้วละค่ะ ขาดไม่ได้กันเลยเชียว
เสียดายความดุที่ทำไม่สุดจริง ๆ เลย
ก็ไม่ได้คาดหวังอยู่แล้วละค่ะว่าพล็อตเรื่องมันจะพราวไปกว่าเดิม มาเฟียเอาแต่ใจอย่างมัสซิโม่ภาคนี้ก็รักเมียหลงเมียแต่งานก็รัดตัวและมีความลับเต็มไปหมด ปมธุรกิจยุบยับที่ใส่เข้ามาในเรื่องทำให้เกิดเส้นเรื่องที่เพิ่มมากขึ้นกว่าภาคที่แล้ว แต่ก็ช่างเบาดุจขนนกไม่ต่างไปจากเดิม โคลงเคลงหลวมโพรกจนต้องบอกกับตัวเองว่า เราคงไม่ต้องไปสนใจเครื่องเคียงจืดชืดนั่นหรอกน่า
บทเขียนให้เลาร่าเติบโตขึ้น แข็งแกร่งขึ้นและเป็นนางเอกมากมายขึ้นกว่าเดิม ด้วยการถูกดึงเข้าไปอยู่ในวังวนแย่งชิงจนกลายเป็นหมากในกระดานที่ยืนอยู่บนความเสี่ยง โดยที่ตัวเธอเองนั้นช่างไร้เดียงสา ดุจนางเอกละครไทยอมตะ ที่ไม่ต้องเดาอะไรทั้งนั้น เพราะทางมันมาแนวนี้อยู่แล้ว ส่วนในด้านของมัสซิโม่ ที่ภาคแรกเราได้เห็นความดุเด็ดและช่างเอาแต่ใจของมาเฟียหนุ่ม ภาคนี้ยังได้เห็นอยู่่เช่นเดิม แต่หากมีการขับเคี่ยวให้เส้นเรื่องใหม่แข็งแรงมากขึ้นกว่านี้อีก (เยอะเลยทีเดียว) ภาคนี้จะกลายเป็นหนังมาเฟียเล่นรักที่ดุ เด็ด เผ็ดมันและน่าสนใจกว่านี้มาก
ฉากสุดแซ่บที่หลายคนรอคอย
ก็ไม่ได้คอยเก้อกันหรอกค่ะ แต่อาจจะไม่สาแก่ใจสายฮาร์ดคอร์สักเท่าไหร่ เพราะภาคนี้ลดความหวือหวาลงไปเยอะ ดูหนัง 365 Days This Day ท่วงท่าลีลาไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่จนวูบวาบ แต่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดก็คือมุมกล้องที่เซฟขึ้น ดีขึ้น ประหนึ่งกำลังนั่งดู MV เพลงรักร้อน ๆ ก็ไม่ปาน เนื้อเรื่องมีจึ๋งเดียว แต่ไอ้ที่มากมายเกินครึ่งเรื่องคือการแสดงอารมณ์ล้วน ๆ ทั้งอารมณ์วาบหวาม ร้อนรัก อารมณ์ร่าเริง เศร้า เหงา โกรธ ไม่ว่าจะไปไหนทำอะไรเสียงเพลงก็ตามไปทุกหนทุกแห่งแถมไม่เข้ากันอีกต่างหาก จะเยอะไปไหนเนี่ยถามจริง ๆ ทั้งฉากสำคัญและไม่สำคัญพร่างพราวดุจดวงดาวบนท้องฟ้า จนกลายเป็นช้ำมากกว่าฉ่ำอย่างที่ควรจะเป็น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราจะได้เห็นฉากรักหลากอารมณ์ที่ไม่ได้มีแค่ 1 คู่แน่นอนค่ะ และเป็นการเข้าฉากที่ฉึบฉับ ไร้เหตุผล เรียกว่าตีหัวเข้าฉากกันโต้ง ๆ ให้งงกับเนื้อเรื่องกันเล่น ๆ เหมือนผู้สร้างกำลังย้ำเตือนกับเราว่า อย่าไปสนใจมาก ดูฉากโอโบ๊ะจามะเคล้าเสียงเพลงกันไปก็พอแล้ว ย้วยกว่านี้ก็ขอบกางเกงในนางเอกแล้วละค่ะ
ส่วนผสมที่ไม่ลงตัว แต่ก็ดีนะ
ถ้าภาคที่แล้วเป็นอาหารจานร้อนที่เผ็ดปากเจ่อ ภาคนี้ก็เป็นอาหารจานด่วนที่แซ่บพอดีคำ ความจัดจ้านอาจไม่เท่ากับภาคแรก แต่การจัดจานนั้นสวยงามน่ามองกว่าภาคแรกเป็นไหน ๆ โดยเฉพาะฉากท้าย ๆ ที่สร้างอารมณ์วาบหวามได้พอดีแบบกรุ้มกริ่ม ยิ้มขำได้กับจินตนาการของนางเอก แต่ส่วนดี ๆ ที่เพิ่มเข้ามานี้กลับกลายเป็นส่วนผสมที่ไม่ลงตัวไปเสียอย่างนั้น เหมือนน้ำกับน้ำมันที่แบ่งแยกกันชัดเจนให้เห็นเป็นชั้น ๆ จนเกือบจะเป็นหนังคนละเรื่องอยู่แล้วเชียว
อย่าว่าแต่คนดูจะสับสนในอารมณ์เลยค่ะ ผู้เขียนว่า ผู้สร้างแกก็คงจะงงกับตัวเองอยู่ไม่น้อย มุมกล้อง แสงเงา การย้อมสีต่าง ๆ และโลเคชันสวยงามกว่าภาคที่แล้วจนอยากเอ่ยปากชมว่าดีจัง มุมนั้นสวยมุมนี้ดี งามจริง ๆ แต่อะไรที่มันมีมากเกินไปจากที่จะฉุดให้เราหยุดเสพสุขอยู่ตรงนั้น กลับทำให้ความตื่นตาตื่นใจที่ควรจะมีหายวับเอาง่าย ๆ ซะงั้นน่ะ
เนื้อหาเน่า ๆ เราจะไม่พูดถึง เพราะเขาก็เน่ามาตั้งแต่แรก แต่สิ่งที่เห็นความตั้งใจของผู้สร้างก็คือ ความพยายามที่จะใส่เนื้อหาที่ไม่ค่อยจะมีให้มีมากขึ้น การนำเสนอที่มีความเป็นอาร์ตมากกว่าเดิม ซึ่งจุดนี้ถือเป็นการพัฒนาในด้านดีแต่เมื่อใส่ไปในฉากที่ จำเป็นต้องใส่ด้วยเหรอ? ก็ทำให้กลายเป็นเสียของไปซะฉิบ เพิ่มเส้นเรื่อง เพิ่มตัวละครที่เหมือนจะมีความสำคัญแต่กลับเคว้งคว้าง ความตื่นเต้นที่ควรจะมีกลายเป็นความเอื่อยเนือยจนน่าเสียดาย และฟุ่มเฟือยในหลาย ๆ ฉาก แต่ความมั่นหน้าที่มากขึ้นไปอีกก็คือ การตัดจบที่ทิ้งเอาไว้อย่างชัด ๆ โดยไม่ต้องบอกว่าเขาจะมีภาค 3 ตามมาอีกแน่ ๆ เป็นไตรภาค OMG พระเจ้าจอร์จ สุดยอดอีกแล้วจ้าาา